คำประสม
คำประสม คือ คำที่มีคำ 2 คำหรือมากกว่านั้นมาประสมกันเข้าเป็นคำใหม่อีกคำหนึ่ง
เจตนาในการสร้างคำประสมก็เป็นเช่นเดียวกับคำซ้อน คือเพื่อให้มีคำใหม่ใช้ในภาษา
ลักษณะคำประสม
คำประสมที่สร้างมีลักษณะต่างๆ ตามการใช้
แยกได้เป็น ที่ใช้เป็นคำนาม คำกริยา และคำวิเศษณ์
คำประสมที่ใช้เป็นคำนาม
ส่วนมากคำตัวตั้งเป็นคำนาม ที่เป็นคำอื่นก็มีบ้าง คำประสมประเภทนี้ใช้เป็นชื่อสิ่งต่างๆ
ที่มีความหมายจำกัดจำเพาะ พอเอ่ยชื่อขึ้นย่อมเป็นที่รับรู้ว่าเป็นชื่อของอะไรหากคำนั้นเป็นที่ยอมรับใช้กันทั่วไปแล้ว
1. คำตัวตั้งเป็นนาม คำขยายเป็นวิเศษณ์ ได้แก่
มด+แดง คือ
มดชนิดหนึ่งตัวสีแดง ไม่ใช่มดตัวสีแดงทั่วๆ ไป อาจเติมต่อเป็น มด+แดง+ไฟ ก็ได้
เป็นการบอกประเภทย่อยของ มดแดง ลงไปอีกทีหนึ่ง
รถ+เร็ว
คือรถไฟที่เร็วกว่าธรรมดาเพราะไม่ได้หยุดแวะทุกสถานี
น้ำ+แข็ง คือ
น้ำชนิดหนึ่งที่แข็งเป็นก้อนด้วยความเย็นจัดตามธรรมชาติ หรือทำขึ้น
ที่เราใช้อยู่ทุกวันหมายถึงน้ำที่แข็งเป็นก้อนด้วยกรรมวิธีอย่างหนึ่ง
2. คำตัวตั้งเป็นคำนาม คำขยายเป็นกริยา
บางทีมีกรรมมารับด้วย ได้แก่
ผ้า+ไหว้ คือ ผ้าสำหรับไหว้ที่ฝ่ายชายนำไปให้แก่ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง เพื่อแสดงความเคารพในเวลาแต่งงาน
ผ้า+ไหว้ คือ ผ้าสำหรับไหว้ที่ฝ่ายชายนำไปให้แก่ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง เพื่อแสดงความเคารพในเวลาแต่งงาน
ไม้+เท้า คือ
ไม้สำหรับเท้าเพื่อยันตัว
โต๊ะ+กิน+ข้าว คือ
โต๊ะสำหรับกินข้าว
3. คำตัวตั้งเป็นคำนาม คำขยายเป็นคำนามด้วยกัน ได้แก่
3. คำตัวตั้งเป็นคำนาม คำขยายเป็นคำนามด้วยกัน ได้แก่
เรือน+ต้น+ไม้ คือ
เรือนที่ไว้ต้นไม้ไม่ให้โดนแดดมาก
เก้าอี้+ดนตรี คือ
การเล่นชิงเก้าอี้มีดนตรีประกอบเป็นสัญญาณ
คน+ไข้ คือ คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย
อยู่ในความดูแลของแพทย์พยาบาล
แกง+ไก่ คือ แกงเผ็ดที่ใส่ไก่
ไม่ใช่แกงที่ใส่ไก่ทั่วๆ ไป
4. คำตัวตั้งเป็นคำนาม คำขยายเป็นบุพบท ได้แก่
คน+กลาง คือ
คนที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใด คนที่ติดต่อระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย
คน+ใน คือ คนในครอบครัว ในวงการ
คนสนิท
เครื่อง+ใน คือ
อวัยวะภายในของสัตว์ ซึ่งมักใช้เป็นอาหาร ได้แก่ ตับ ไต ไส้ ของหมู วัว ควาย
เป็นต้น
ฝ่าย+ใน คือ
หญิงที่สังกัดอยู่ในพระราชฐานชั้นใน เป็นเจ้านายและ ข้าราชการ
ความ+ใน คือ เรื่องส่วนตัวซึ่งรู้กันในระหว่างคนสนิทกัน
2-3
คน
คน+นอก คือ คนนอกครอบครัว
นอกวงการ
ของ+นอก คือ ของไม่แท้
มักใช้หมายถึงทองวิทยาศาสตร์ที่เรียกทองนอก
เมือง+นอก คือ ต่างกระเทศ
มักหมายถึงยุโรป อเมริกา
ฝ่าย+หน้า คือ
เจ้านายและข้าราชการที่ไม่ใช่ฝ่ายใน
ความ+หลัง คือ
เรื่องที่ผ่านมาแล้วของแต่ละคน
เบี้ย+ล่าง คือ อยู่ใต้อำนาจ
เบี้ย+บน คือ มีอำนาจเหนือ
5.
คำตัวตั้งที่ไม่ใช่คำนาม และคำขยายก็ไม่จำกัดอาจเป็นเพราะพูดไม่เต็มความ
คำนามที่เป็นคำตัวตั้งจึงหายไป กลายเป็นคำกริยาบ้าง คำวิเศษณ์บ้าง เป็นตัวตั้ง
ได้แก่
ต้ม+ยำ ต้ม+ส้ม ต้ม+ข่า เป็นชื่อแกงแต่ละอย่าง มีลักษณะต่างๆ กัน เดิม น่าจะ
มีคำ
แกง อยู่ด้วย เพราะขณะนี้ยังมีอีกมาก ที่พูดแกงต้มยำ แกงต้มส้ม แกง(ไก่)ต้มข่า
เรียง+เบอร์ คือ
ใบตรวจเลขสลากกินแบ่งของรัฐบาลที่มีเบอร์เรียงๆกันไป เดิมคงจะมีคำ ใบ อยู่ด้วย
พิมพ์+ดีด คือ เครื่องพิมพ์ดีด
คำ เครื่อง หายไป แต่ที่ยังใช้เครื่อง ด้วยก็มี
สาม+ล้อ คือ รถสามล้อ คำ
รถจะหายไปในภายหลังเช่นเดียวกัน
ข้อควรสังเกตเกี่ยวกับคำประสม
คำที่ไม่เกิดความหมายใหม่
จัดเป็น วลี หรือกลุ่มคำ เช่น
ลูกหมาตัวนี้ถูกแม่ทิ้ง
เป็นวลี เพราะไม่เกิดความหมายใหม่
เจ้าหน้าที่กำลังฉีดยากำจัดลูกน้ำ เป็นคำประสม เพราะไม่ได้หมายถึงลูกของน้ำ
คำประสมกับคำซ้อน
ลักษณะที่เหมือนกัน
1. ต่างเป็นคำที่นำคำเดี่ยวอันมีใช้อยู่เดิมมารวมกันเข้าสร้างเป็นคำใหม่ขึ้น
2. เมื่อเกิดเป็นคำใหม่แล้ว
ความจะต่างจากเดิมไป ที่เหมือนเดิมก็ต้องมีความหนักเบาของความหมายต่างกัน
บางทีก็มีความหมายไปในเชิงอุปมา
3. คำที่ประสมกันก็ดี
ซ้อนกันก็ดี ถ้าแยกออกเป็นคำๆ แล้วแต่ละคำมีความหมายสมบูรณ์ มีที่ใช้ในภาษา
ทั้งนี้ผิดกับคำที่ลงอุปสรรคที่จะกล่าวต่อไป อุปสรรค์นั้นไม่มีความหมายและที่ใช้ในภาษา
ลักษณะที่ต่างกัน
1. คำประสม มี 2 คำหรือมากกว่านั้น คำซ้อน
มีคำเพียง 2 คำ ถ้าจะมีมากกว่านั้นก็ต้องเป็น 4 คำหรือ 6 คำ
2. คำประสม
มีความหมายสำคัญที่คำตัวตั้ง ส่วนคำขยายมีความสำคัญรองลงไป คำซ้อน ถือคำแต่ละคำที่มาซ้อนกัน มีความสำคัญเสมอกันเพราะต่างก็มีความหมายคล้ายกัน
3. คำประสม มีความหมายต่างจากเดิมไปบ้าง ถ้าคงเดิมก็มักเป็นคำที่ใช้เรียกชื่อสิ่งต่างๆ คำซ้อน มีความหมายต่างจากเดิมไปบ้าง ถ้าคงเดิม ความเน้นหนักและที่ใช้ก็ต้องต่างไป แต่ถึงอย่างไร ความความใหม่ต้องเนื่องกับความหมายเดิม
4. คำประสม บางคำอาจสับหน้าสับหลังกันได้ แต่ถ้าเรียงสับที่กันความหมายก็จะต่างไป
3. คำประสม มีความหมายต่างจากเดิมไปบ้าง ถ้าคงเดิมก็มักเป็นคำที่ใช้เรียกชื่อสิ่งต่างๆ คำซ้อน มีความหมายต่างจากเดิมไปบ้าง ถ้าคงเดิม ความเน้นหนักและที่ใช้ก็ต้องต่างไป แต่ถึงอย่างไร ความความใหม่ต้องเนื่องกับความหมายเดิม
4. คำประสม บางคำอาจสับหน้าสับหลังกันได้ แต่ถ้าเรียงสับที่กันความหมายก็จะต่างไป
เช่น
เสือปลา กับ ปลาเสือและหน้าที่ของคำก็จะต่างไปด้วย เช่น ใจดี กับ ดีใจ คำซ้อน
อาจสับหน้าสับหลังได้เฉพาะบางคำที่เสียงไปได้ไม่ขัดหูออกเสียงได้สะดวก และบางคำสับที่แล้วความหมายต่างไป
แต่ที่ไม่ต่างกันก็มี เช่น อัดแอ กับแออัด
ข้อสังเกตคำประสมกับคำเดี่ยว
คำประสมบางคำมีลักษณะเหมือนคำเดี่ยวๆ
(ที่เคยเรียกกันว่าคำมูล)
มาเรียงกันเข้า
ทำให้พิจารณายากว่า คำใดเป็นคำประสมคำใดไม่ใช่ มีหลักพิจารณาได้ดังนี้
1. เสียงหนักเบา
เรื่องเสียงนี้ไม่อาจรู้ได้จากตัวเขียนแต่เวลาพูดอาจสังเกตได้โดยเสียงหนักเบาบอกให้รู้
ดังกล่าวแล้วในเรื่องเสียงวรรณยุกต์ คือ ถ้าเป็นคำประสมน้ำหนักเสียงจะลงที่คำ
ท้ายเป็นส่วนมาก
ส่วนที่ไม่ได้ลงเสียงหนัก เสียงจะสั้นเบา บางทีอาจจะฟังไม่ชัด เหมือนหายไปเลยทั้งพยางค์
แต่ถ้าไม่ใช่คำประสมน้ำหนักเสียงจะเสมอกันและมีจังหวะเว้นระหว่างคำ
(บางทีจะมีเสียงเหมือน น่ะ ม่ะ หรือ อ้ะ ท้ายคำที่มาข้างหน้า
แต่เวลาเขียนกำหนดไม่ได้)ทั้งนี้เพราะคำที่เรียงกันมาแต่ละคำมีความสำคัญถ้าพูดไม่ชัดเจนทุกคำไปแล้ว
ความหมายย่อมไม่แจ่มแจ้ง แต่คำประสมกับไม่เข้าใจความหมายเสียทีเดียว
2. ความหมาย
คำประสมจะมีความหมายจำกัด จำเพาะว่าหมายถึงอะไร และหมายพิเศษอย่างไร เช่น รถเร็ว
ไม่ใช่รถที่วิ่งเร็วทั่วๆ ไป เมื่อพูดย่อมเป็นที่เข้าใจกัน
แต่คำบางคำไปมีความหมายอย่างอื่น ไม่ตรงตามคำเดี่ยวที่นำมาประสมกันเข้า เช่น
สามเกลอสามขา หมายถึง เครื่องใช้เพื่อตอกเสาเข็มด้วยแรงคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น