คำประสม
คำประสม คือ
คำที่เกิดจากการเอาคำมูลที่มีความหมายต่างกันตั้งแต่ ๒
คำขึ้นไปมารวมกันเข้าเป็นคำเดียว กลายเป็นคำใหม่ มีความหมายใหม่
แต่ยังมีเค้าความหมายเดิมอยู่ เช่น ลูกเสือ ( นักเรียนที่แต่งเครื่องแบบ
) แสงอาทิตย์( งูชนิดหนึ่งมีเกล็ดสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ซึ่งแปลกกว่างูชนิดอื่น
ๆ ) หางเสือ ( ที่บังคับทิศทางเรือ
) แต่ถ้าลูกเสือ หมายถึง ลูกของเสือ แสงอาทิตย์ หมายถึง
แสงของดวงอาทิตย์ หางเสือ หมายถึง หางของเสือ อย่างนี้ไม่จัดเป็นคำประสม
เพราะไม่เกิดความหมายใหม่ขึ้น จัดเป็นวลีที่เกิดจากการเรียงคำธรรมดาเท่านั้น
การเกิดคำประสมในภาษาไทย
คำประสมภาษาไทยเกิดขึ้นได้หลายกรณี
ดังนี้
๑. เกิดจากคาไทยประสมกับคาไทย เช่น
ไฟ + ฟ้า = ไฟฟ้า
ตาย + ใจ = ตายใจ
ผัด + เปรี้ยว + หวาน = ผัดเปรี้ยวหวาน
๒. เกิดจากคาไทยประสมกับคาต่างประเทศ เช่น
ไทย + บาลี = หลัก ( ไทย ) + ฐาน ( บาลี ) - หลักฐาน
ราช ( บาลี ) + วัง ( ไทย ) -
ราชวัง
ไทย + สันสฤต = ทุน ( ไทย ) +
ทรัพย์ ( สันสฤต ) - ทุนทรัพย์
ตัก ( ไทย ) + บาตร ( สันสฤต
) - ตักบาตร
ไทย + เขมร = นา ( ไทย ) + ดำ ( เขมร = ปลูก ) - นาดำ
นา ( ไทย ) + ปรัง ( เขมร = ฤดูแล้ง ) - นาปรัง
จีน + ไทย = หวย ( จีน ) + ใต้ดิน ( ไทย ) - หวยใต้ดิน
ผ้า ( ไทย ) + ผวย ( จีน ) - ผ้าผวย
ไทย + อังกฤษ = เหยือก ( อังกฤษ
- jug ) + นํ้า ( ไทย ) - เหยือกนํ้า
พวง (ไทย ) + หรีด ( อังกฤษ
- wreath ) - พวงหรีด
๓. เกิดจากคาต่างประเทศประสมกับคาต่างประเทศ เช่น
บาลี + จีน - รถ ( บาลี ) + เก๋ง ( จีน ) - รถเก๋ง
บาลี + สันสฤต - กิตติ ( บาลี
) + ศัพท์ ( สันสฤต ) - กิตติศัพท์
จะเห็นว่า
คำประสมเกิดขึ้นได้จากการรวมตัวกันระหว่างคำไทยกับคำไทย คำไทยกับคำต่างประเทศ
และคำต่างประเทศกับคำต่างประเทศ
ชนิดของคำที่เอามาประสมกัน คำไทยมีอยู่
๗ ชนิด คือ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ คำบุพบท คำสันธาน และ คำอุทาน
แต่คำไทยทั้ง ๗ ชนิด นี้มิใช่จะเอามาประสมกันได้ทั้งหมด
คำที่ใช้ประสมกันได้เท่าที่ปรากฏ มีดังนี้
๑. คำนามประสมกับคำนาม
เช่น
พ่อตา แม่ยาย ลูกน้อง หน้าม้า
ลิ้นปี่
คอยหอย หีบเสียง กล้วยแขก
แม่นํ้า
ราชวัง
๒. คำนามประสมกับคำกริยา
เช่น
นักร้อง หมอดู บ้านพัก เรือบิน
ยาถ่าย
รถเข็น ไก่ชน คานหาม
นํ้าค้าง
คนเดินตลาด
๓. คำนามประสมกับคำวิเศษณ์
เช่น
นํ้าแข็ง เบี้ยล่าง หัวใส หัวหอม
ใจดี
ใจเย็น ม้าเร็ว นํ้าหวาน
ปากเบา
ปลาเนื้ออ่อน
๔. คำนามประสมกับคำลักษณะนาม
เช่น
วงแขน วงกบ ดวงหน้า ลูกชิ้น
ดวงใจ
เพื่อนฝูง
๕. คำนามประสมกับคำสรรพนาม
เช่น
คุณยาย คุณพระ คุณหลวง
๖. คำกริยาประสมกับคำกริยา
เช่น
ตีพิมพ์ เรียงพิมพ์ พิมพ์ดีด นอนกิน
ฟาดฟัน
กันสาด ตีชิง ห่อหมก
เที่ยวขึ้น
เที่ยวล่อง
๗. คำกริยาประสมกับคำวิเศษณ์
เช่น
ลงแดง ยินดี ถือดี ยิ้มหวาน
สายหยุด
ดูถูก ผัดเผ็ด ต้มจืด
บานเย็น
บานเช้า
๘. คำวิเศษณ์ประสมกับคำวิเศษณ์
เช่น
หวานเย็น เขียนหวาน เปรี้ยวหวาน คำขำ
คมขำ
คมคาย
การพิจารณาคาประสม
คำประสมมีลักษณะเป็นกลุ่มคำหรือวลี
การพิจารณากลุ่มคำใด ๆ ว่าเป็นคำประสมหรือไม่นั้น
สามารถพิจารณาได้จากลักษณะต่อไปนี้
๑. พิจารณาลักษณะการเรียงคาและความหมาย
คำประสมจะเรียงคำหลักไว้ข้างหน้า
คำที่เป็นเชิงขยายจะเรียงไว้ข้างหน้า ความหมายที่เกิดขึ้นจะเป็นความหมายใหม่โดยมีเค้าความหมายเดิมอยู่
เช่น
ลูกนํ้า
หมายถึง ลูกยุง เป็นคำประสม
ไฟฟ้า
หมายถึง พลังงานชนิดหนึ่ง เป็นคำประสม
เบี้ยล่าง
หมายถึง เสียเปรียบ เป็นคำประสม
ยิงฟัน
หมายถึง การเผยอริมฝีปากให้เห็นฟัน เป็นคำประสม
แต่ถ้าหมายถึงการทำร้ายหรือยิงฟัน ( ฟัน = อวัยวะ ) ก็ไม่เป็นคำประสม
เป็นเพียงวลีธรรมดา
เพราะถึงแม้จะเรียงคำเหมือนกันก็ตาม แต่ความหมายไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
เว้นจังหวะ
หมายถึง การหยุดไว้ระยะ ไม่เป็นคำประสม
คนหนึ่ง
หมายถึง คน ๆ เดียว ไม่เป็นคำประสม
๒. พิจารณาจากลักษณนาม
ที่ใช้กับคำที่สงสัยว่าจะเป็นคำประสมหรือไม่โดยลองแยกดูว่า
คำลักษณนามนั้นเป็นลักษณนามของทั้งสองคำร่วมกันหรือเป็นของคำหนึ่งคำใดโดยเฉพาะ
ถ้าเป็นลักษณนามของทั้งสองคำร่วมกัน กลุ่มคำนั้นก็เป็นคำประสม
แต่ถ้าเป็นของคำหนึ่งคำใดโดยเฉพาะ กลุ่มคำนั้นก็ไม่เป็นคำประสม เช่น
ลูกตา
คน นี้เสียแล้ว คำว่า ลูกตา ไม่เป็นคำประสม
พิจารณาจากลักษณนาม “ คน ” เป็นลักษณะนามของตา ซึ่งเป็นคน
ลูกตา
ข้าง นี้เสียแล้ว คำว่าลูกตา เป็นคำประสม พิจารณาจากลักษณะนาม
“
ข้าง ” เป็นลักษณะนามลูกตา ( อวัยวะ )
รถเจ๊ก
คน นี้เก่ามาก คำว่า รถเจ๊ก ไม่เป็นคำประสม
รถเจ๊ก
คันนี้เก่ามาก คำว่า รถเจ๊ก เป็นคำประสม
๓. พิจารณาจากความหมายในประโยค หรือดูจากข้อความที่แวดล้อมคำซึ่งเราสงสัย
ในประโยคบางประโยค หรือในข้อความบางข้อความ
เราไม่สามารถบ่งออกไปได้ทันทีว่าคำใดเป็นคำประสม
จนกว่าเราจะได้พิจารณาความหมายของคำนั้นให้ชัดเจนเสียก่อน เช่น ในประโยคต่อไปนี้
ก. นั่นลูกเลี้ยงใคร
ข. นั่นลูกเลี้ยงของใคร
ค. นั่นลูกเลี้ยงใครไว้
คำว่าลูกเลี้ยงในข้อ
ก.เป็นได้ทั้งคำประสมและไม่ใช่คำประสม ถ้ามีข้อความอื่น
หรือเหตุการณ์มาชี้ให้เห็นว่า
ผู้พูดประโยคนี้กำลังหมายถึงใครคนหนึ่งคำว่า “ ลูกเลี้ยง ” ก็จะเป็นคำประสม แต่ถ้าผู้พูดกำลังถามลูกของตัวเองว่าเลี้ยงใครอยู่
คำว่าลูกเลี้ยงก็ไม่เป็นคำประสม ส่วนคำว่าลูกเลี้ยงในข้อ ข. ข้อความใกล้เคียงบ่งชี้ว่าเป็นคำประสมอย่างไม่มีปัญหา
ส่วนข้อ ค. คำว่าลูกเลี้ยงไม่ได้เป็นคำประสม
คำว่าลูกเป็นนามและคำว่าเลี้ยงเป็นกริยาของประโยค
หรือ
ประโยคว่า
“ ลูกน้องของเธอมาแล้ว ” คำว่าลูกน้อง
ก็อาจจะเป็นได้ทั้งคำประสมและไม่ใช้คำประสมเราจะตัดสินได้ก็ต่อเมื่อมีข้อความอื่นมาขยายหรือเราอยู่ในเหตุการณ์ที่กำลังพูดประโยคนี้อยู่ด้วยหรือสังเกตการเน้นคำก็ได้
เพราะคำว่า ลูกน้อง อาจมีความหมายว่า ลูก ( ของ ) น้อง ( ไม่เป็นคำประสม ) หรือ
ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ ( ของเธอ ) ( เป็นคำประสม
) เป็นต้น
ประโยชน์ของคำประสม
๑. ทำให้มีคำใช้ในภาษามากขึ้น โดยใช้คำที่มีอยู่แล้ว
เอามารวมกันทำให้เกิดคำใหม่ ได้ความหมายใหม่
๒. ช่วยย่อความยาว ๆ ให้สั้นเข้า เป็นความสะดวกทั้งในการพูด และการเขียน เช่น
นักร้อง = ผู้ที่ชำนาญในการร้องเพลง
ชาวนา = ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในผืนนา
หมอนวด = ผู้ที่ชำนาญในการนวด
๓. ช่วยให้การใช้คำไทยที่มาจากภาษาต่างประเทศ ประสมกลมกลืนกับคำไทยแท้ได้สนิท
เช่น
พลเมือง = พล ( บาลี ) + เมือง ( ไทย )
เสื้อเชิ้ต = เสื้อ ( ไทย ) + เชิ้ต
( อังกฤษ - shirt )
รถเก๋ง = รถ ( บาลี ) + เก๋ง ( จีน )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น