วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

นิราศภูเขาทอง

นิราศภูเขาทอง
ผู้แต่ง  พระยาศรีสุนทรโวหาร (สุนทรภู่)
ลักษณะคำประพันธ์      
          นิราศภูเขาทองแต่งด้วยกลอนแปด  มีความยาว ๙๘ คำกลอน  ลักษณะเฉพาะของกลอนนิราศ  คือมักขึ้นต้นด้วยวรรครับ  และลงท้ายด้วยเอย
ที่มาของเรื่อง
          เป็นวรรคดีประเภทนิราศ  ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนิราศเรื่องที่ดีที่สุดของสุนทรภู่ (พ.ศ.๒๓๒๙-๒๓๙๘) ท่านแต่งนิราศเรื่องนี้จากการเดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองที่กรุงเก่า (จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)  เมื่อเดือนสิบเอ็ด  ปีชวด  (พ.ศ.๒๓๗๑)  ขณะบวชเป็นพระภิกษุ  มีอายุราว  ๔๒  ปี
จุดมุ่งหมายในการแต่ง
          เพื่อไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทอง  ด้วยเชื่อว่ามีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่
ประวัติผู้แต่ง
          พระยาศรีสุนทรโวหาร (ภู่)  มีนามเดิมว่าภู่  เกิดในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  เมื่อวันจันทร์  เดือนแปด  ขึ้นหนึ่งค่ำ  ปีมะเมีย  จุลศักราช  ๑๑๔๘  เวลาสองโมงเช้า  ตรงกับวันที่  ๒๖  มิถุนายน  พ.ศ.๒๓๒๙  ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง  คลองบางกอกน้อย  สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน  บิดามารดาก็หย่าจากกันฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ  เมืองแกลง  ส่วนมารดา  คงเป็นนางนมพระธิดา  ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกลหรือเจ้าครอกทองอยู่)  ได้แต่งงาน มีสามีใหม่และมีบุตรกับสามีใหม่  ๒  คนเป็นผู้หญิงชื่อฉิมและนิ่ม  ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก
          สุนทรภู่ได้เดินทางไปบ้านกร่ำ  เมืองแกลง  จังหวัดระยอง  เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า  ๒๐  ปี  สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต  กว่าจะกลับกรุงเทพฯ  ก็ล่วงถึงเดือน  ๙  ปี  พ.ศ.๒๓๔๙  หลังจากกลับจากเมืองแกลง  สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์  พระโอรสองค์เล็กของกรมพระราชวังหลัง  ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง  ในช่วงนี้สุนทรภู่ก็สมหวังในความรัก  ได้แม่จันเป็นภรรยา  สุนทรภู่เป็นคนเจ้าชู้  แต่งงานได้ไม่นานก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน  ยังไม่ทันคืนดี  สุนทรภู่ก็ต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท  จ.สระบุรี  ในวันมาฆบูชา  สุนทรภู่ได้แต่นิราศเรื่องที่สองขึ้น  คือ  นิราศพระบาท  สุนทรภู่ตามเสด็จถึงกรุงเทพฯในเดือน ๓ ปี  พ.ศ.๒๓๕๐  สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน  ๑  คน  ชื่อหนูพัด  แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนัก  ในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป  พระองค์เจ้าจงกลได้รับอุปการะหนูพัดไว้
          รับราชการครั้งแรกก็สมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  ด้วยอาจจะมาจากที่รัชกาลที่  ๒  ชอบบทกลอนเหมือนกัน  แต่หลังจากรัชกาลที่  ๒  เสด็จสวรรคต  นอกจากแผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้  ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุดในชีวิตได้เป็นถึงกวีที่ปรึกษาในราชสำนักก็หมดวาสนาไปด้วย  จึงลาออกจากราชการและตั้งใจบวชเพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณเมื่อกลับจากกรุงเก่า  พระสุนทรภู่ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม ปี พ.ศ.๒๓๗๒  เจ้าฟ้ากุลฑลทิพยวดีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  ทรงฝากเจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว  พระโอสรองค์กลางและองค์น้อยให้เป็นศิษย์สุนทรภู่  การมีศิษย์ชั้นเจ้าฟ้าเช่นนี้จึงทำให้สุนทรภู่สุขสบายขึ้น  พระสุนทรภู่อยู่วัดอรุณฯ  ราว  ๒  ปี  จึงข้ามฟากมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  เล่ากันถึงสาเหตุที่พระสุนทรภู่ย้ายวัดมาก็เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงชักชวนให้มาอยู่ด้วย  เชื่อว่าคงจะทรงคุ้นเคยกับสุนทรภู่ในฐานะที่เป็นกวีด้วยกัน  โดยเฉพาะสมัยที่สุนทรภู่  เป็นขุนสุนทรโวหารในรัชกาลที่  ๒  สุนทรภู่เกิดไปสนใจในเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและยาอายุวัฒนะถึงแก่อุตสาหะไปค้นคว้า  ทำให้เกิดนิราศวัดเจ้าฟ้าและนิราศสุพรรณ  ปี  พ.ศ.๒๓๘๓  สุนทรภู่มาจำพรรษาอยู่วัดเทพธิดาราม  ท่านอยู่ที่นี้ได้  ๓  พรรษา  คืนหนึ่งเกิดฝันร้ายว่าชะตาขาด  จะถึงแก่ชีวิตจึงได้แต่งเรื่องรำพันพิลาป  ซึ่งทำให้ทราบเรื่องราวในชีวิตของท่านอีกเป็นอันมาก  จากนั้นจึงลาสิกขาบทเมื่อปี  พ.ศ.๒๓๘๕  ต่อมาเมื่อเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศได้  บวรราชาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ทรงแต่งตั้งให้สุนทรภู่เข้ารับราชการเป็นเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวรมีตำแหน่งเป็นพระสุนทรโวหาร  สุนทรภู่ได้แต่งหนังสือในตอนนี้  ๓  เรื่อง  คือ  นิราศเมืองเพชร  บทละครเรื่องอภัยนุราชและพระราชพงศาวดาร
          สุนทรภู่รับราชการอยู่กับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวได้  ๕  ปี  ก็ถึงแก่กรรม  เมื่อปีเถาะ พ.ศ.๒๓๙๘  มีอายุได้  ๗๐  ปี  ผู้สืบสกุลของสุนทรภู่ใช้นามสกุล “ภู่เรือหงษ์” 
          ปี  พ.ศ.๒๕๒๙  องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้ประกาศยกย่องสุนทรภู่เป็นกวีเอกของโลก
ผลงานของสุนทรภู่
          ประเภทนิราศมี  ๙  เรื่อง
          ๑. นิราศเมืองแกลง  ถือว่าเป็นนิราศเรื่องแรกของสุนทรภู่ พ.ศ.๒๓๕๐
          ๒.  นิราศพระบาท  พ.ศ.๒๓๕๐
          ๓.  นิราศภูเขาทอง  พ.ศ.๒๓๗๑
          ๔.  นิราศเมืองเพชร  พ.ศ.๒๓๗๑-๒๓๗๔
          ๕.  นิราศนิราศวัดเจ้าฟ้า  พ.ศ.๒๓๗๕
          ๖.  นิราศอิเหนา  พ.ศ.๒๓๗๕-๒๓๘๐
          ๗.  นิราศสุพรรณ  พงศ.๒๓๗๗-๒๓๘๐
          ๘.  รำพันพิลาป  พ.ศ.๒๓๘๕
          ๙.  นิราศพระประธม  พ.ศ.๒๓๘๕-๒๓๘๘
          ประเภทนิทานมี  ๕  เรื่อง
          ๑.  โคบุตร                 ๒.  พระอภัยมณี           ๓.  พระไชยสุริยา
          ๔.  ลักษณวงศ์             ๕.  สิงหไกรภพ
          ประเภทสุภาษิตมี  ๒  เรื่อง
          ๑.  สวัสดิรักษา            ๒.  เพลงยาวถวายโอวาท
          ประเภทบทละครมี  ๑  เรื่อง
          ๑.  อภัยนุราช
          ประเภทเสภามี  ๒  เรื่อง
          ๑.  ขุนช้างขุนแผนตอนกำเนิดพลายงาม    
          ๒.  พระราชพงศาวดาร
          ประเภทบทเห่กล่อมมี  ๔  เรื่อง
          ๑.  จับระบำ               ๒.  กากี                    ๓.  พระอภัยมณี           ๔.  โตบุตร
สาระสำคัญของเรื่อง
          หลังจากออกพรรษาและรับกฐินในเดือน  ๑๑  แล้ว  สุนทรภู่พร้อมกับหนูพัดซึ่งเป็นบุตรชายที่ยังเด็กอยู่  ได้เดินทางออกจากวัดราชบูรณะ (วัดเลียบ)  ไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  เรือผ่านตำหนักแพและพระบรมมหาราชวัง  ผ่านตำบลและสถานที่ต่างๆ  ตามลำดับ  เช่น  บางพลัด  นนทบุรี  ปากเกร็ด  สามโคก ฯลฯ  จนกระทั่งถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ในตอนค่ำแวะจอดพักค้างคืนอยู่ที่หน้าวัดพระเมรุ  ค้างคืนในเรือมีโจรแอบจะมาขโมยของในเรือ  แต่ไหวตัวทัน  ครั้นรุ่งเช้าเป็นวันพระได้เดินทางไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองซึ่งเชื่อว่ามีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่  สุนทรภู่อธิษฐานขอพรพระให้ได้เกิดเป็นคนดี  มีศีลธรรม  มีความสุขทั้งกายและใจทุกชาติเพื่อจุดมุ่งหมายให้ถึงพระนิพพานในอนาคตหลังจากกราบพระ  สุนทรภู่ได้พบพระธาตุในเกสรดอกบัว  จึงอัญเชิญพระธาตุประดิษฐานไว้ในขวดแก้ววางไว้ใกล้ศีรษะ  แต่รุ่งเช้าเมื่อจะบูชาองค์พระธาตุกลับหายไป  ในเช้าวันนั้นเองสุนทรภู่เดินทางกลับกรุงเทพฯ  และมาถึงวัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง)  ในเย็นวันเดียวกัน




ถอดคำประพันธ์
          ๑.  ถึงเดือน  ๑๑  ซึ่งออกจากการจำพรรษาแล้ว  เมื่อรับกฐินเสร็จ  ก็ต้องลงเรือด้วยความเศร้าโศก  ออกจากวัดที่เคยอาศัยมา  ๓  พรรษา  จำต้องจากวัดราชบูรณะนี้  คงอีกนานกว่าจะได้มาเห็น  นึกแล้วเศร้าใจยิ่งนักทั้งนี้เป็นเพราะมีคนพาลมาใส่ร้าย  คิดจะหาผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือท่านก็ไม่มีความยุติธรรม  จึงต้องอำลาวัดไปจนต้องมาอ้างว้างอยู่กลางสายน้ำ
          ๒.  เมื่อล่องเรือมาถึงพระบรมมหาราชวังก็เศร้าโศกมาก  คิดถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยผู้ซึ่งมีพระคุณกับสุนทรภู่อย่างมาก  เมื่อก่อนเคยเข้าเฝ้าท่านอย่างใกล้ชิด  เมื่อพระองค์สวรรคตก็เหมือนกับชีวิตของสุนทรภู่ตายไปด้วย  เพราะไม่มีญาติหรือคนคอยช่วยเหลือชีวิตจึงยากแค้นแสนเข็ญอีกทั้งมีโรคมีกรรมเข้ามารุมล้อม  ไม่เห็นจะมีใครพึ่งพาได้  จึงได้ขอบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้รัชกาลที่  ๒  ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมตลอดเวลา  เพื่อเป็นสิ่งทดแทนพระคุณพระองค์  แม้เกิดชาติใดใดก็ขอให้เป็นข้ารับใช้พระองค์ตลอดไป     
          ๓.  เมื่อถึงหน้าแพก็เห็นเรือพระที่นั่ง  คิดถึงเมื่อวันก่อนก็เศร้าจนน้ำตาไหล  เคยหมอบกราบรัชกาลที่  ๒  กับพระจมื่นไวย  ส่งเสด็จแล้วลงเรือพระที่นั่ง  เคยรับราชโองการอ่านในงานฉลอง  แม้เรือที่มาทอดกฐินหมดแล้วก็ยังมิได้ทำให้พระองค์ขัดใจแต่อย่างใด  เคยหมอบกราบใกล้จนได้กลิ่นหอมจากพระวรกาย  กลิ่นหอมนั้นหอมจนติดจมูก  แต่เมื่อพระองค์สวรรคตก็สิ้นกลิ่นหอมไปด้วย  อีกทั้งยังเหมือนวาสนาของสุนทรภู่ก็สิ้นตามกลิ่นไปด้วย
          ๔.  มองไปที่พระบรมราชวังยังเห็นหอที่เก็บพระอัฐิของรัชกาลที่  ๒  ก็ขอถวายส่วนบุญส่วนกุศลไปให้
          ๕.  เมื่อถึงวัดประโคนปักก็มองไปไม่เห็นเสาหินที่ลือกัน  เป็นเสาที่สำคัญในแผ่นดิน  ถึงจะไม่เห็นก็ขออำนาจแห่งพระพุทธคุณ  ขอให้อายุยืนหมื่นๆ ปีเท่าดังเสาศิลา  อยู่คู่ฟ้าดินได้ตลอดไป  พอเรือล่องเลยวัดก็มองดูริมท่าน้ำ  มีแพมาจอดขายของอยู่เรียงรายมีขายทั้งผ้าแพรสีม่วงและสีอื่นๆ  ทั้งสิ่งของที่มาจากเมืองจีน
          ๖.  ถึงโรงเหล้าก็มีควันออกมาจากเตากลั่นมากมาย  มีเครื่องตักน้ำผูกไว้ปลายเสา  สุนทรภู่เคยดื่มน้ำเหล้าจนเมาเหมือนคนบ้า  จึงได้บวชเพื่อจะได้พ้นจากอบายมุข  ขอให้ได้ตรัสรู้ดังพระพุทธเจ้า  แต่เหล้าเคยทำให้รอดชีวิตดังนั้นจะเมินไปก็เกินไป  ถึงจะไม่เมาเหล้าแต่ก็ยังเมารักอยู่  หักห้ามใจไม่ให้รักไม่ได้  การเมาเหล้านั้นพอรุ่งขึ้นก็หายไป  แต่ถ้าเมารักนี้จะไม่หายจะเมาอยู่ทุกวันไป
          ๗.  ถึงบางจากก็เหมือนตัวสุนทรภู่ที่ต้องจากวัดราชบูรณะจากพี่น้อง  ต้องทนจากมาด้วยความไม่เต็มใจ
          ๘.  ถึงบางพลูคิดถึงนางจันทร์ที่เคยแต่งงานกัน  เคยส่งหมากพลูโดยใส่ซองให้ทั้งหมดเป็นใบเหลืองซึ่งอร่อยมาก  ถึงบางพลัดก็ไม่อยากได้ยินคำว่าพลัดเพราะได้พลัดจากนางจัน ทั้งยังพลัดจากเมืองและอื่นๆ
          ๙.  ถึงบางโพก็คิดถึงต้นโพธิ์  ให้ร่มเงา  ให้ความร่มเย็น  ขออำนาจพระพุทธคุณ  ขอให้ตนพ้นจากภัยตลอดไป
          ๑๐.  ถึงบ้านญวนเห็นมีพ่อค้าขายของเช่นกุ้งหรือปลาโดยการขังไว้ในข้อง  ข้างหน้าโรงมีโพงพางดักปลาวางเรียงไว้  มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมาจับจ่ายซื้อของ  จะมองกลับไปยังประเทศบ้านเกิดก็มีแต่ความทุกข์ทรมาน  จิตใจก็หม่นหมอง  ล่องเรือมาจนถึงวัดเขมา  ก็รู้ว่าพึ่งเลิกงานฉลองไปเมื่อวาน
          ๑๑.  คิดถึงเมื่อก่อนรัชกาลที่  ๒  ได้มาตัดหวายลูกนิมิต  ได้ชมพระพิมพ์ทั้ง  ๘๔,๐๐๐ องค์ซึ่งเท่ากับจำนวนพระธรรมที่อยู่ในพระไตรปิฎกที่อยู่ริมผนัง   แต่ครั้งนี้ไม่ได้เห็นงานฉลอง  ด้วยสุนทรภู่ต้องหมดวาสนาและลำบาก  เป็นเพราะบุญน้อยก็รู้สึกเศร้า  แต่แล้วเรือก็ติดน้ำวน  บางส่วนก็พุ่งวนเหมือนกงเกวียนดูเวียนเป็นเหมือนพายุวน  ทั้งหัวท้ายเรือต้องรีบแจวเรือ  เรือจึงหลุดน้ำวนออกมาได้  แต่ถึงเรือจะพ้นน้ำวนมาแล้วแต่ใจก็ยังไม่พ้นจากความรัก
          ๑๒.  ถึงตลาดแก้วแต่ไม่เห็นมีตลาดตั้งขายของทั้งสองฝั่งเห็นแต่ต้นไม้พืชพันธุ์ต่างๆ  ได้กลิ่นดอกไม้หอมไปเรื่อยๆ  ตลอดทางและกลิ่นหมอเหมือนผ้าแพรที่ย้อมด้วยมะเกลือ  เห็นต้นโศกใหญ่และต้นระกำเป็นแผงแต่แปลกที่มีต้นรักขึ้นแซมอยู่ด้วย  เหมือนความโศกเศร้าระกำใจที่สุนทรภู่ต้องเป็นเพราะรักแม่จัน
          ๑๓.  เมื่อถึงจังหวัดนนทบุรีก็เห็นตลาดน้ำ  มีแพซึ่งขายเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม  มีทั้งเรือจอดอยู่เพื่อขายผลไม้จากสวน  มีผู้หญิงผู้ชายมาซื้อของกันมากมาย
          ๑๔.  มาถึงหมู่บ้านบางธรณีก็โศกเศร้ามาก  เพราะความยากลำบากจนอยากจะร้องไห้  ทั้งที่แผ่นดินมีขนาดถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์  แต่เมื่อถึงคราวลำบากแม้แต่แผ่นดินก็ไม่มีที่อาศัย  เหมือนโดนหนามเสียดแทงเจ็บแสบมาก  เหมือนนกไม่มีรังที่จะอาศัยต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆ
          ๑๕.  ถึงตำบลปากเกร็ดซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวมอญอาศัยอยู่  ตามธรรมเนียมผู้หญิงมอญจะเกล้าผมแต่สมัยนี้ผู้หญิงมอญมาถอนไรผมเหมือนตุ๊กตา  ทั้งยังใช้เครื่องสำอาง  ใช้แป้งผัดหน้าเหมือนกับชาวไทยทำให้เห็นได้ว่าสมัยนี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความเที่ยงแท้  เหมือนที่ชาวมอญละทิ้งประเพณีวัฒนธรรมของตนเองแล้วจะนับประสาอะไรกับจิตใจของตน  ที่จะมีเพียงใจเดียว  แต่คนเรามักจะหลายใจ
          ๑๖.  ถึงบางพูดสุนทรภู่ก็นึกถึงคำที่เกี่ยวกับคำพูดที่ว่า  ถ้าใครพูดดีก็จะมีคนรัก  แต่ถ้าพุดไม่ดีก็อาจจะเป็นภัยต่อตนเองได้  อีกทั้งยังไม่มีใครคบ  ไม่มีเพื่อนสนิทมิตรสหาย  จะดูว่าใครดีหรือไม่ดีดูได้จากการพูด
          ๑๗.  ถึงบ้านใหม่สุนทรภู่ก็คิดอยากจะได้บ้านสักหลัง  อยากขอกับเทวดาให้สมดังปรารถนา  เพราะการมีบ้านใหม่จะได้มีความสุขและจะมีที่อาศัยอย่างปลอดภัย
          ๑๘.  ถึงบางเดื่อก็คิดถึงลูกมะเดื่อที่ภายนอกนั้นดูสวยงามน่ารับประทานแต่ภายในกลับมีแมลงมีหนอนอยู่เหมือนกับคนพาลที่ปากพูดดีแต่ในใจคิดทำอันตราย
          ๑๙.  ถึงบางหลวงเหมือนจากนางจันมานานแล้ว  ยังต้องสละจากยศถาบรรดาศักดิ์เพื่อมาบวช  เพื่อจะได้พ้นจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง  ถึงจะมีนางฟ้ามายั่วก็ไม่สนใจ
          ๒๐.  ถึงสามโคกก็คิดถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยซึ่งพระองค์ปกครองกรุงเทพฯ  พระองค์ได้พระราชทานนามเมืองสามโคก  จากการเป็นหัวเมืองชั้นสาม  เป็นเมืองปทุมธานีเป็นเพราะมีบัวจำนวนมาก  ถึงพระองค์จะเสด็จสวรรคตไปแล้วแต่ชื่อปทุมธานีคงอยู่ตลอดไป  แต่ทำไมชื่อของสุนทรภู่คือขุนสุนทรโวหารที่ได้รับพระราชทานนามมาแต่กลับไม่มีชื่ออยู่ต่างกับปทุมธานี  สุนทรภู่ต้องเร่ร่อนไม่มีบ้านอาศัย  แม้เกิดในชาติไหนก็ขอให้ได้เป็นข้ารับใช้พระองค์ตลอดไป  พอพระองค์สวรรคตสุนทรภู่ก็ขอตายตามไปด้วย  เพื่อจะได้รับใช้และพึ่งพระองค์  เดี๋ยวนี้ก็เศร้าโศกใจทุกข์ระทมอย่างทวีคูณมากต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆ  ชีวิตไม่มีจุดมุ่งหมาย
          ๒๑.  ถึงบ้านงิ้วก็เห็นมีแต่ต้นงิ้ว  ซึ่งไม่มีนกหรือสัตว์อื่นๆ  อยู่บนกิ่งเลยเพราะต้นงิ้วมีหนามขึ้นอยู่มากมายนึกถึงก็น่ากลัวหนามเพราะถ้าโดนคงเจ็บมาก  แต่งิ้วในนรกยาวถึง  ๑๖  องคุลีแหลมเหมือนกับไม้ไผ่เหลาทำกับดัก  ซึ่งใครมีชู้เมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปปีนต้นงิ้วในนรก  แต่สุนทรภู่มีอายุมากแล้วและยังครองตัวอยู่ในศีลธรรมไม่มีชู้  แต่ทุกวันนี้ผู้คนวิปริตมีชู้กันมากเมื่อตายไปคงต้องไปปีนต้นงิ้วในนรกกันบ้าง
          ๒๒.  ทั้งหมดที่คิดมานั้นสามารถตัดขาดได้  แต่การตัดความรักยากยิ่งนัก  นั่งนึกก็ยิ่งอนาถใจจนเย็นถึงเกาะใหญ่ราชคราม  มองไปเห็นบ้านเรือนต่างๆ  อยู่ห่างจากสองฝั่งมาก  ในที่นี้ต้องระวังจระเข้จะทำร้ายทั้งที่ที่ยังเป็นที่อยู่ของผู้ร้ายซึ่งมาคอยดักปล้น  คิดแล้วน่าเบื่อยิ่งนัก
          ๒๓.  เมื่อพระอาทิตย์ตกก็มีเมฆมืดครึ้มมาจนมืดไปทั่ว  พายเรือถึงทางลัดซึ่งเป็นทางตัดกลางนาก็เห็นมีต้นแฝกต้นคา  ต้นแขม  ต้นกกขึ้นปะปนกันอยู่มากเงาของต้นพวกนี้ทอดลงน้ำทำให้ดูเวิ้งว้างมองดูทีไรก็รู้สึกกลัวทุกที  มองเห็นเงาของหญิงชายที่ส่งเสียงคุยกัน  เรือของพวกเขาเพรียวเล็กและมีปลาอยู่บนเรือด้วย  พวกเขาถ่อเรือคล่องแคล่วเดินทางไปอย่างรวดเร็ว  แต่เรือของสุนทรภู่ไปช้ามากช่างน่าสงสารลูกศิษย์ที่ต้องถ่อเรืออย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งๆ  ที่ไม่คุ้นเส้นทาง  บางครั้งเรือก็เสยเข้าพงหญ้า  จะถอยหลังก็ถอยยาก  เรือก็โคลงจนกระโถนใส่หมากหก  พอเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงสัตว์เลยซักตัว  มีแต่เสียงน้ำค้างตกมองไปไม่เห็นคลองเลยต้องค้างอยู่กลางทุ่ง  พอหยุดเรือยุงก็มารุมกัดเจ็บมากเลยไม่ได้นอนเพราะนั่งตบยุง
          ๒๔.  สุนทรภู่รู้สึกเหงามาก  มองไปในทุ่งเห็นมีแต่ต้นแขมขึ้นอยู่จนดึก  มีดาวอยู่กลางท้องฟ้า  มีนกกระเรียนบินและส่งเสียงร้องตอนเที่ยงคืน  มีเสียงกบเขียดร้อง  มีลมพัดเฉื่อยๆ  สุนทรภู่รู้สึกวังเวงก็คิดถึงเมื่อครั้งมียศถาบรรดาศักดิ์  ได้เฮฮากับเพื่อนๆ  มีคนคอยปรนนิติรับใช้  แต่ยามลำบากขณะนี้เห็นแต่ลูกชาย  คอยช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ว่าง  จนพระจันทร์ขึ้นก็เห็นต้นกระจับ  ต้นจอก  มีดอกบัวเผื่อน  คืนนี้เป็นคืนเดือนหงายพอมองเห็นคลองทั้งสองด้านก็รีบถ่อเรือลงคลอง  จนรุ่งเช้าก็เห็นพันธุ์ผักดูน่ารัก  มีบัวเผื่อนอยู่สองข้างทางที่เรือพายไป  มีต้นก้ามกุ้ง  สาหร่ายใต้น้ำ  ต้นสายติ่งขึ้นสลับกับต้นตับเต่าเป็นกลุ่มๆ  มองไปเหมือนกับดาวบนท้องฟ้า  เหล่านี้ถ้าผู้หญิงได้มาเห็นก็คงจะลงเล่นกลางทุ่ง  ที่มีเรือก็คงจะพายไปเก็บสายบัว  ถ้าสุนทรภู่มีโยมผู้หญิงก็คงไม่นิ่งเฉยให้อายดอกไม้  คงจะให้ศิษย์ไปเก็บของฝากเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้  แต่นี่จนใจไม่มีเงินสักนิด  ทั้งยังขี้เกียจเก็บจึงเลยมา  พออ่อนแสงของพระอาทิตย์ก็ถึงกรุงศรีอยุธยาสุนทรภู่ก็รู้สึกเศร้าใจ
          ๒๕.  เมื่อถึงหน้าจวนของเพื่อนสุนทรภู่  สุนทรภู่ก็คิดถึงเมื่อก่อนจนน้ำตาไหล  สุนทรภู่ตั้งใจจะแวะมาเยี่ยมเยียน  ถ้ายังเหมือนเมื่อก่อนก็ยังได้รับนิมนต์ขึ้นบนจวน  แต่ในครั้งนี้หากไปพบก็กลัวว่าจะหัวเราะเยาะจนต้องอาย  จึงไม่กล้าไปพบเพื่อน 
          ๒๖.  จอดเรือที่ข้างวักพระเมรุซึ่งริมวัดมีเรือจอดอยู่  บางลำมีคนร้องเล่น  บางลำก็ร้องเพลงเกี้ยวกัน  บางลำฉลองผ้าป่าด้วยการขับเสภา  ทั้งยังมีคนตีระนาดซึ่งตีเก่งเหมือนนานเส็ง  (คนเก่งระนาดสมัยสุนทรภู่)  มีโคมแขวนอยู่เรียงรายเหมือนอย่างสามเพ็ง  เมื่อคราวเคร่งในศาสนาก็ไม่ได้ดู  มีเรือลำหนึ่งเล่นกลอนสนุกมาก  ร้องกลอนยากมีลูกเล่นจนลูกคู่เบื่อ  ได้เห็นและฟังการละเล่นต่างๆ  ที่ข้างวัดพอดึกก็นอน  ประมาณสามยามก็มีโจรขึ้นเรือ  พอมีเสียงกุกกักสุนทรภู่ก็ลุกขึ้นโวยวาย  โจรก็รีบดำน้ำไปอย่างว่องไวมองไปไม่เห็นหญ้า  ลูกศิษย์ก็ทำอะไรไม่ถูกด้วยความกลัวแต่หนูพัดจุดเทียนส่องดูว่ามีอะไรหายไปบ้าง  แต่ไม่มีอะไรหายแม้แต่เครื่องอัฐบริขาร  ทั้งนี้ด้วยเพราะบุญและพระพุทธคุณ  ทำให้รอดพ้นจากภัยในครั้งนี้
          ๒๗.  รุ่งเช้าเป็นวันพระซึ่งจะได้บูชาพระธรรม  ได้บูชาเจดีย์ภูเขาทองซึ่งดูสูงเสียดฟ้า  อยู่กลางทุ่งดูโดดเด่นมีน้ำใสอยู่รอบๆ  ที่ฐานสร้างเป็นรูปกลีบบัว  ถัดมาจากบันไดมีน้ำไหลล้อมรอบเป็นขอบ  มีเจดีย์มีวิหารมีลานวัด  มีกำแพงกั้นอยู่  สถาปัตยกรรมการก่อสร้างใช้รูปแบบการย่อเหลี่ยมมุมไม้ ๑๒  อย่างสวยงามเป็นสามชั้นอย่างงดงาม  บันไดมี  ๔  ด้าน  สุนทรภู่ขึ้นไปชั้น  ๓  ตั้งใจเวียน  ๓  รอบก็กราบเจดีย์  มีห้องที่เป็นถ้ำสำหรับจุดเทียนเพราะลมจะพัดธูปเทียนดับ  ตอนนั้นบังเกิดสิ่งอัศจรรย์มีลมพัดเวียนขวาราวกับจะเวียนเทียนด้วย  ทุกวันนี้เจดีย์ดูเก่าและทรุดโทรมมาก  ที่ฐานร้าวถึงเก้าแฉก  ที่ยอดก็หักองค์พระเจดีย์ก็หลุด  เป็นเพราะเจดีย์ไม่มีคนคอยดูแล  นึกแล้วเสียดายจนน่าเศร้า  แล้วจะเทียบอะไรกับชื่อเสียงเกียรติยศของมนุษย์  ก็คงหมดในไม่ช้า  เหมือนกับเป็นผู้ดีแล้วลำบาก  เป็นคนมั่งมีแล้วยากจน  คิดแล้วทุกอย่างไม่เที่ยงแท้
          ๒๘.  ขออำนาจแห่งเจดีย์ภูเขาทองซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  ขอให้การที่ได้มากราบในครั้งนี้เป็นบุญเพื่อเป็นอานิสงส์ให้พ้นภัยต่างๆ  ถ้าจะเกิดชาติไหนๆ  ก็ขอให้บริสุทธิ์ทั้งกาย  ใจ  ความทุกข์ความโศกอย่าได้เข้ามาใกล้  สบายทุกชาติ  ทั้งความโลภ  โกรธ  หลงขอให้ตนชนะได้  ขอให้มีสติปัญญาหลักแหลมมีศีลธรรมอยู่ในใจ  อย่าให้หญิงร้ายและชายชั่วได้มารู้จัก  ขอให้สมหวังดังหวังทั้งชาตินี้และชาติหน้า
          ๒๙.  พอก้มลงกราบพระพุทธรูปเงยขึ้นก็เห็นดอกบัวและเห็นพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในเกสรก็ดีใจมากและช้อนประคองลงเรือ  พอหนูพัดกราบไหว้เสร็จแล้วก็ใส่พระบรมสารีริกธาตุไว้ในขวดแก้ว  วางไว้ใกล้ศีรษะที่หัวนอน  ตั้งใจจะนอนที่กรุงศรีอยุธยาและรุ่งเช้าจะบูชาพระบรมสารีริกธาตุแต่พอตื่นมาไม่เห็นพระบรมสารีริกธาตุก็ตกใจอย่างมากทั้งที่วางไว้ใกล้ศีรษะ  สุนทรภู่ว่าเป็นเพราะบุญตนน้อยทำให้พระธาตุลอยน้ำไปไกล  สุนทรภู่คิดว่าไม่สามารถอยู่ที่เจดีย์ภูเขาทองต่อได้เพราะจะยิ่งเศร้าโศกและร้อนใจยิ่งขึ้น  พอพระอาทิตย์ขึ้นก็ล่องเรือถึงกรุงเทพฯ  โดยใช้เวลาเดินทาง  ๑  วัน
          ๓๐.  ถึงหน้าวัดอรุณก็ค่อยสร่างจากเศร้าเพราะได้กราบพระพุทธรูป  นิราศภูเขาทองของสุนทรภู่เรื่องนี้ได้แต่งเพื่ออ่านคลายเหงา  เพราะได้ไปกราบไหว้พระ  กราบพระบรมสารีริกธาตุ  เพราะคนที่นับถือพระพุทธศาสนา  เมื่อไม่สบายใจก็จะกราบไหว้พระเพื่อให้สบายใจ  ตอนนี้สุนทรภู่ใช่ว่าจะมีคนรักหรือพึ่งจะจากรักมา  แต่ที่กล่าวถึงผู้หญิงก็เพราะเป็นธรรมเนียมการแต่งนิราศ  เหมือนแม่ครัวจะปรุงอาหารประเภทพะแนงนอกจากจะใส่เครื่องปรุงและเนื้อสัตว์แล้วยังต้องใส่พริกไทยใบผักชีเพื่อเพิ่มความน่ารับประทานแก่อาหาร  ผู้หญิงก็เหมือนพริกไทยใบผักชีเพื่อให้นิราศนี้น่าอ่าน  ขอให้ทราบความจริงทุกๆ  อย่างว่าสุนทรภู่ไม่ได้มีผู้หญิงเลย  ขออย่าได้นินทาให้เสียเพราะคนที่มีความสามารถในเชิงกลอนเวลาเดินทางจะให้นั่งๆ  นอนๆ  เฉยๆ  ก็จะน่าเบื่อจึงต้องแต่งกลอนเพื่อคลายเหงาและคลายความเศร้าใจ  และฝากผลงานให้เป็นที่ประจักษ์
คุณค่าของเรื่อง
          ๑.  คุณค่าทางวรรณศิลป์
          คุณค่าทางวรรณศิลป์ในกลอนนิราศภูเขาทองมีการเลือกใช้คำดีเด่นต่างๆ  ดังนี้
          -  สัมผัสสระ  คือ  คำที่ใช้สระตัวเดียวกัน
          -  สัมผัสอักษร  คือ  คำที่มีอักษรคล้องจองกัน
          -  การซ้ำเสียง  คือ  การสัมผัสอักษรอย่างหนึ่ง  นับเป็นการเล่นคำที่ทำให้เกิดเสียงไพเราะ  การซ้ำเสียงจะต้องเลือกคำที่ให้จินตภาพแก่ผู้อ่านอย่างแจ่มชัดด้วย
          -  การใช้กวีโวหาร  คือ  นิราศภูเขาทองมีภาพพจน์ต่างๆ  ที่กวีเลือกใช้  ทำให้ผู้อ่านได้เข้าถึงความคิด  ความรู้สึกของกวี
          -  ภาพพจน์อุปมา  คือ  โวหารที่เปรียบเทียบของสองสิ่งว่าเหมือนกัน  มักใช้คำว่าเหมือน  คล้าย  ดุจ  ดูราว  ราวกับ
          -  ภาพพจน์กล่าวเกินจริง  คือ  การที่กวีอาจกล่าวมากหรือน้อยกว่าความเป็นจริง  เพื่อสื่อให้เกิดความเข้าใจและมองเห็นภาพในความคิดคำนึงได้ดีขึ้น
          -  การเลียนเสียง  คือ  กวีทำให้เสียงที่ได้ยินมาบรรยายให้เกิดมโนภาพและความไพเราะน่าฟังยิ่งขึ้น
          -  การเล่นคำ  คือ  การใช้ถ้อยคำคำเดียวในความหมายต่างกันเพื่อให้การพรรณนาไพเราะน่าอ่านและมีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น
          ๒.  คุณค่าด้านสังคม
          นิราศภูเขาทอง  สะท้อนวิธีการดำเนินชีวิตรวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม  ตลอดจนเป็นการบันทึกเส้นทางการเดินทางในสมัยนั้นและเป็นการบันทึกประวัติสถานที่  ในเรื่องนี้สุนทรภู่ยังให้ข้อคิดและคติธรรมที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตของคนอีกด้วย


1 ความคิดเห็น:

  1. คนพาลที่ปากพูดดี แต่ในใจคิดร้าย สุนทรภู่ภู่เปรียบเสมือนอะไร ช่วยอธิบายย่อๆได้ไหม ไม่เข้าใจหาไม่เจอ

    ตอบลบ