เรื่องพ่อค้า
๒ คน
พ่อค้าคนหนึ่ง
มีความจำเป็นต้องเดินทางไปค้าขายยังแดนไกล เขามีความเป็นห่วงในทรัพย์สินและบ้านเรือนของเขาเป็นอันมาก
แต่ก็จำเป็นที่จะต้องไป เขามีเพื่อนบ้านเรือนเคียงอยู่คนหนึ่งซึ่งได้คบกันมาเป็นเวลานาน เพราะมีฐานะเป็นพ่อค้าเช่นเดียวกันกับเขาในครั้งนี้เนื่องจากเขาจะเดินทางเป็นเวลานานมาก จึงคิดว่าควรจะฝากของมีค่าของเขาไว้เสียกับเพื่อนบ้านเพื่อจะได้เป็นที่ปลอดภัยจากการถูกขโมย คิดดังนั้นแล้วเขาก็นำเงินแท่งหนักถึงหนึ่งร้อยกิโลกรัม บรรจุใส่ถุงผ้าอย่างดีนำไปฝากเพื่อนบ้านตามที่คิดไว้ แล้วก็ออกเดินทางไปค้าขายตามความตั้งใจเดิม
หลังจากวันเดินทางหนึ่งเดือนพอดี พ่อค้าผู้นั้นก็ได้กลับมาถึงบ้านเดิม เขารีบตรงไปหาเพื่อนบ้าน และออกปากขอเงินแท่งที่เขาได้ฝากไว้ เพื่อนบ้านเขาร้องว่า “เงินทองเพื่อนนะหรือ ? อนิจจา....
เราเสียใจจริงๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกันดี หนูมันกินเสียจนหมดแล้วซี เราดุด่าว่าคนของเรามากมาย เพราะไม่ค่อยระวังรักษาทรัพย์สินที่เพื่อนนำมาฝากไว้ แต่ก็นั่นแหละอะไรจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทุกเวลาไม่ใช่หรือ? ” พ่อค้าผู้นั้นแม้จะรู้สึกประหลาดใจเต็มทีแต่ก็ทำเป็นซื่อ เชื่อถือในเรื่องโกหกที่เขารับฟังจากเพื่อนบ้าน แต่ในใจของเขานั้นครุ่นคิดหาอุบายที่จะนำเงินแท่งทั้งหมดของเขาคืนมาให้ได้
ลายวันต่อมาพ่อค้าผู้นั้นบังเอิญได้พบกับบุตรชายอายุประมาณ ๑๐ ขวบ ของเพื่อนบ้านซึ่งโกงเงินของเขาไป จึงได้พาตัวเด็กไปซ่อนไว้ที่บ้านของเขาเองโดยไม่มีใครรู้เห็น แล้วตัวเขาเองก็ออกไปเชิญเพื่อนบ้านคนนั้นให้ไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกับเขา แต่ชายพ่อค้าพ่อของเด็กรีบบอกว่า “ขอโทษด้วยเถิด ขอให้ฉันได้ขอโทษในการที่ต้องปฏิเสธความใจดีของเพื่อนในครั้งนี้สักครั้งเถิด” ชายเพื่อนบ้านกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า ส่วนพ่อค้าแกล้งทำหน้าฉงนอย่างไม่เข้าใจ ชายเพื่อนบ้านจึงเล่าให้ฟังต่อไปว่า “ฉันเห็นจะหมดความสุขไปชั่วชีวิตนี้เสียแล้ว ฉันมีลูกเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง ฉันรักเขายิ่งกว่าตัวฉันเองเสียอีก แต่ว่าโธ่เอ๋ย! อนิจจา...
ฉันคงไม่เห็นหน้าเขาอีกแล้ว เขาหายไปไม่รู้ว่าใครมาลักพาเขาไปเสียแล้ว” กล่าวจบเพื่อนบ้านของพ่อค้าก็ปล่อยโฮออกมาอีกโดยไม่ละอายเลยแม้สักนิด เมื่อเห็นดังนั้นพ่อค้าจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ก็เรื่องนี่แหละที่เราชวนเพื่อนมากินอาหารเย็นด้วยกัน เพื่อจะได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี เพราะเมื่อวานนี้ตอนตะวันตกดิน เราได้เห็นนกเค้าแมวตัวหนึ่งถาลงมาโฉบเอาลูกชายของท่านบินหายไปในอากาศ เราช่วยเขาไว้ไม่ทัน เพราะมันมืดมองไม่เห็นถนัดว่า นกตัวนั้นมันพาลูกชายของเพื่อนบินไปทางไหน ? ”
ชายผู้เป็นพ่อของเด็กที่หายไปพูดขึ้นว่า “เพื่อนจะให้เราเชื่อได้อย่างไรกัน? นกเค้าแมวตัวเล็กนิดเดียวเท่านั้นเองจะสามารถโฉบเอาลูกของเราซึ่งมีน้ำหนักมากมายอย่างนั้นไปในอากาศได้อย่างไรกัน? เพื่อนเอาเรื่องอะไรมาเล่าให้เราฟังกันนี่? ความจริงแล้วลูกเราน่าจะเป็นฝ่ายที่จับนกเค้าแมวตัวนั้นมาขังไว้มากกว่า ที่จะถูกมันโฉบแล้วพาหายไปในอากาศอย่างที่เพื่อนบอกให้ฟัง” ชายพ่อค้าตอบว่า “อันนี้เราก็ไม่รู้จะบอกเพื่อนอย่างไรดี แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเราก็ได้เห็นมากับตาของเราเอง แต่ก็รู้สึกว่าไม่น่าสงสัยอะไรเพราะมันน่าจะเป็นไปได้ที่นกเค้าแมวตัวเล็กๆ
โฉบเอาลูกของเพื่อนไปได้ เพราะหนูตัวเล็กๆ
ก็ยังสามารถกินเงินแท่งซึ่งมีน้ำหนักตั้งร้อยกิโลไปได้อย่างสบายๆ นี่นา” พ่อของเด็กเริ่มเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร จึงได้รีบวิ่งกลับไปที่บ้านนำเอาเงินแท่งทั้งหมดมาคืนให้พ่อค้าไป แล้วเขาก็รับตัวลูกชายคืนไป
“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อุบายของเราอาจทำลายตัวเราเองได้เช่นเดียวกัน”
(คัดจากนิทานอีสป รวบรวมโดย วิณณา หน้า
๗๖ – ๘๐)
เมื่ออ่านแล้วอาจพิจารณาได้ดังนี้
ย่อหน้าที่ ๑
ประโยคใจความสำคัญ พ่อค้าคนหนึ่งต้องเดินทางไปค้าขายแดนไกล เขาจึงเอาเงินแท่งหนักหนึ่งร้อยกิโลกรัมไปฝากเพื่อน
ประโยคพลความที่เด่น เพื่อนอยู่บ้านใกล้กัน สนิทสนมกันมานาน
ย่อหน้าที่ ๒
ประโยคใจความสำคัญ - หนึ่งเดือนต่อมาเขากลับบ้านและไปทวงเงินแท่งคืน เพื่อนไม่มีจะคืน
- พ่อค้าทำเป็นเชื่อคำพูด และคิดอุบายในใจ
ประโยคพลความที่เด่น - เพื่อนบอกว่าหนูกัดกินเงินหมดแล้ว สุดวิสัยที่จะช่วยได้
- พ่อค้าคิดอุบายที่จะเอาเงินคืนมา
ย่อหน้าที่ ๓
ประโยคใจความสำคัญ ๑. หลายวันต่อมาพ่อค้าจับลูกเพื่อนไปขังไว้
๒.
พ่อค้าไปเชิญเพื่อนมารับประทานอาหารด้วยกัน
๓.
เพื่อนปฏิเสธ
๔.
พ่อค้าบอกว่าเห็นนกเค้าแมวคาบลูกชายเพื่อนไป
ประโยคพลความที่เด่น ๑. พ่อค้าพบลูกเพื่อนโดยบังเอิญจึงจับไปขังไว้
๒.
เพื่อนกำลังเศร้าโศกที่ลูกหายไป
ย่อหน้าที่ ๔
ประโยคใจความสำคัญ ๑. เพื่อนไม่เชื่อพ่อค้า
๒.
พ่อค้าบอกว่าเห็นมากับตา
ประโยคพลความที่เด่น ๑. เพื่อนไม่เชื่อว่านกเค้าแมวจะคาบลูกชายได้
๒.
พ่อค้าเปรียบเทียบว่าหนูตัวเล็กๆ ยังกินเงินแท่งได้
ย่อความได้ ดังนี้
นิทานเรื่องพ่อค้าสองคน ของอีสป
จากหนังสือนิทานอีสป รวบรวมโดยวิณณา หน้า ๗๖- ๘๐
ความว่า
พ่อค้าคนหนึ่งต้องเดินทางไปค้าขายยังแดนไกล เขาจึงเอาเงินแท่งหนักหนึ่งร้อยกิโลกรัมไปฝากไว้กับเพื่อนพ่อค้าซึ่งอยู่บ้านใกล้กันและสนิทสนมกันมานาน หลังจากนั้นหนึ่งเดือนเขากลับมาแล้วรีบไปหาเพื่อนเพื่อรับเงินแท่งที่ฝากไว้คืน เพื่อนบ้านบอกว่าหนูกัดกินเงินของเขาหมดแล้ว สุดวิสัยที่จะช่วยได้
พ่อค้าทราบว่าเพื่อนของเขาพูดเท็จจึงคิดอุบายที่จะเอาเงินคืนมา หลายวันต่อมาเขาได้พาบุตรชายของเพื่อนไปซ่อนไว้ที่บ้านของเขา แล้วไปเชิญเพื่อนบ้านให้มารับประทานอาหารกับเขา เพื่อนบ้านปฏิเสธเพราะกำลังมีความทุกข์ที่ลูกชายหายไป พ่อค้าจึงบอกว่าเขาเห็นนกเค้าแมวคาบลูกชายของเพื่อนไป แต่เขาช่วยไว้ไม่ทัน เพื่อนของเขาไม่เชื่อว่านกเค้าแมวคาบลูกชายเขาได้ พ่อค้าบอกว่าไม่น่าแปลกใจเลยเพราะหนูตัวเล็กยังกัดกินเงินแท่งได้ เพื่อนเขาจึงเข้าใจและรีบวิ่งกลับไปบ้านนำเงินแท่งทั้งหมดมาคืน และรับตัวลูกชายของตนกลับไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น