วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฏีกา


ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฏีกา  

เนื้อเรื่องย่อ เรื่องขุนช้างขุนแผน  ตอน  ขุนช้างถวายฎีกา

            ฝ่ายพลายงาม เมื่อชนะความขุนช้างแล้ว ก็อยู่มาด้วยความสุข แต่มาคิดว่ายังขาดแต่มารดา เห็นว่าไม่ควรคู่กับขุนช้าง แล้วคิดว่าจะรับแม่กลับมาอยู่กับขุนแผน  พอตกค่ำจึงออกเดินทางไปบ้านขุนช้าง สะกดผู้คน ภูตพราย และแก้อาถรรพณ์ แล้วสะเดาะกลอน เข้าไปถึงชั้นสามห้องนอน ถอนสะกดนางวันทอง แล้วเจรจากัน พระไวยแจ้งว่าจะมารับนางวันทองกลับไปบ้าน นางวันทองแนะนำให้นำเรื่องขึ้นกราบทูลพระพันวษา  พลายงามไม่เห็นด้วยและจะพาไปให้ได้ นางวันทองจนใจจึงยอมไปกับพระไวย  ขุนช้างตื่นขึ้นไม่พบนางวันทอง ให้บ่าวไพร่ค้นหาไม่พบ ฝ่ายพลายงามได้คิดว่า ถ้าขุนช้างรู้ว่าลักนางวันทองมา ก็คงจะนำความขึ้นกราบทูลสมเด็จพระพันวษา มารดาก็จะต้องโทษ คิดแล้วจึงให้หมื่นวิเศษผล ไปหาขุนช้างที่บ้าน ช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องราว อย่าให้ขุนช้างโกรธ ด้วยเป็นคนที่เคยชอบพอกัน โดยให้บอกขุนช้างว่า ตนจับไข้อยู่หลายวัน เกรงว่าแม่ไม่ทันจะเห็นหน้า จึงให้คนไปพาแม่มา พอให้ตนหายไข้แล้ว จะส่งมารดาคืนกลับไป    หมื่นวิเศษรับคำแล้วก็รีบไปบ้านขุนช้าง แจ้งเรื่องตามที่พระไวยสั่งมาทุกประการ ขุนช้างได้ฟังก็ทั้งโกรธและแค้น เมื่อข่มความโกรธแล้วก็ตอบไปว่า ไม่เป็นไรเรื่องการเจ็บไข้ ถ้าขัดสนสิ่งไรก็ขอให้มาเอาที่ตนได้ ว่าแล้วก็ปิดหน้าต่างใส่ ด้วยความเดือดดาลและแค้นใจ
            ฝ่ายขุนช้างร่างฟ้องเสร็จแล้ว ก็มาที่วังใน รออยู่ที่ใต้ตำหนักน้ำ พอสมเด็จพระพันวษาเสด็จกลับวังทางเรือตอนจวนค่ำ ขุนช้างก็ลงลอยคอเข้าถวายฎีกา  สมเด็จพระพันวษาเห็นเข้า ก็ทรงพระพิโรธ ให้รับฎีกาไว้ แล้วเอาตัวไปเฆี่ยนสามสิบที จากนั้นให้ตั้งกฤษฎีกาว่า ตั้งแต่นี้ไป ถ้าใครปล่อยให้ใครเข้ามาในล้อมวง ต้องระวางโทษเจ็ดสถาน ถึงประหารชีวิต
ฝ่ายขุนแผนได้อยู่กับนางแก้วกิริยา และนางลาวทองมาด้วยความผาสุข ตกกลางคืนคิดถึงนางวันทอง จึงออกเดินมาที่ห้องนางวันทอง ที่เรือนพระไวย ปลุกนางขึ้นมาสนทนาด้วย ได้พร่ำรำพันถึงความหลัง ที่ตกทุกข์ได้ยากด้วยกันมา นางวันทองแนะนำขุนแผน ให้นำความขึ้นเพ็ดทูลพระพันวษา และไม่ยอมตกเป็นของขุนแผน พอตกดึกก็ฝันไปว่า ถูกพยัคฆ์ตะครุบ คาบตัวไปในป่า ตกใจตื่น แก้ฝันให้ขุนแผนฟัง ขุนแผนได้ฟังก็ใจหาย รู้ว่าฝันร้ายมีอันตราย        วันรุ่งขึ้น สมเด็จพระพันวษาเสด็จออกว่าราชการ เห็นขุนช้างเข้าเฝ้าอยู่ จึงตรัสว่า เรื่องนางวันทองไม่รู้จบ เมื่อครั้งก่อน เรื่องตกหนักที่นางศรีประจัน ก็ตัดสินไปอยู่กับขุนแผน แต่ทำไมกลับมาอยู่กับขุนช้าง แล้วให้หมื่นศรีไปเอาตัวนางวันทอง ขุนแผนและพระไวยมาเฝ้า ทั้งสามคนได้ฟังความก็ตกใจ ขุนแผนจึงจัดการช่วยเหลือนางวันทองด้วยเวทมนตร์ แล้วจึงพากันไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษาจึงตรัสถามนางวันทอง ถึงเรื่องราวแต่หนหลัง นางวันทองก็กราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อทรงทราบแล้ว ก็กริ้วขุนช้างเป็นกำลัง แล้วตรัสถามนางวันทองต่อไปว่า เวลาล่วงไปแล้วถึงสิบแปดปี แต่ทำไมวันนี้จึงมาได้ นางวันทองก็กราบทูลว่า พระไวยไปรับเมื่อตอนกลางคืน สมเด็จพระพันวษาได้ฟัง ก็ทรงขุ่นเคืองพระไวย ที่ทำตามอำเภอใจเพราะแย่งชิงนางวันทองกัน จึงให้นางวันทองตัดสินใจว่า จะอยู่กับใคร หรือถ้าไม่อยากอยู่กับทั้งสองคน จะเลือกอยู่กับลูกก็ได้ นางวันทองเมื่อถึงคราวจะสิ้นอายุ ไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงกราบทูลเป็นกลางไป หวังจะให้สมเด็จพนะพันวษาตัดสินให้สมเด็จพระพันวษาได้ทรงฟังนางวันทองพูด แล้ว ก็พิโรธยิ่งนัก ตรัสประนามนางวันทองว่าเป็นหญิงหลายใจ อย่าอยู่ให้หนักแผ่นดิน ให้เอาตัวไปฆ่าเสีย


 ข้อมูลตัวละคร ขุนช้างขุนแผน

พลายงาม

            พลายงาม    มีตำแหน่งราชการเป็น จมื่นไวยวรนาถ ซึ่งมักเรียกสั้นๆ ว่า พระไวย หรือหมื่นไวย เป็นลูกของขุนแผนกับนางวันทอง แต่ไปคลอดที่บ้านของขุนช้าง เพราะนางวันทองถูกขุนช้างฉุดไปขณะที่ท้องแก่ ยิ่งโตพลายงามก็ยิ่งละหม้ายคล้ายขุนแผนมากขึ้น ทำให้ขุนช้างเกลียดชัง วันหนึ่งจึงหลอกพลายงามไปฆ่าในป่า  แต่โหงพรายของขุนแผนมาช่วยไว้  นางวันทองจึงให้พลายงามไปอยู่กับนางทองประศรีผู้เป็นย่าที่กาญจนบุรี พลายงามได้เรียนวิชาจากตำราของพ่อจนเชี่ยวชาญมีความสามารถเช่นเดียวกับขุน แผน ต่อมาได้อาสายกทัพไปรบกับเชียงใหม่ แล้วถือโอกาสขออภัยโทษให้ขุนแผนออกจากคุกได้ เมื่อกลับจากสงครามก็ได้ตำแหน่งเป็นจมื่นไวยวรนาถ  และมีภรรยา ๒ คน คือ นางศรีมาลา และ นางสร้อยฟ้า

ขุนช้าง

            ขุนช้าง เจ้าสัวใหญ่แห่งเมืองสุพรรณบุรี ผู้ยึดถือความรักที่มีต่อนางพิมเป็นใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดและกระทำทุกอย่างที่ จะได้นางพิมมาครอบครอง โดยไม่สนใจว่าการกระทำนั้นจะถูกต้องหรือไม่
                ขุนช้างมีลักษณะรูปชั่วตัวดำหัวล้านมาแต่กำเนิด นิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นบุตรของขุนศรีวิชัยและนางเทพทองซึ่งมีฐานะร่ำรวย มาก ขุนช้างแม้จะเกิดมาเป็นลูกเศรษฐีแต่ก็อาภัพถูกแม่เกลียดชังเพราะอับอายที่มี ลูกหัวล้าน จึงมักถูกแม่ด่าว่าอยู่เสมอและไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็จะเป็นที่ขบขันล้อเลียน ของชาวบ้านทั่วไปเสมอ พอเป็นหนุ่มก็ได้นางแก่นแก้วเป็นภรรยาอยู่ด้วยกันได้ปีกว่านางก็ตาย จึงหันมาหมายปองนางพิมพิลาไลยแต่นางไม่ยินดีด้วยและได้แต่งงานกับพลายแก้ว แต่ขุนช้างก็ยังไม่ลดความพยายามคงใช้อุบายจนได้แต่งงานกับนางสมใจปรารถนา ข้อดีของขุนช้าง คือรักเดียวใจเดียวและเลี้ยงดูนางวันทองเป็นอย่างดีทำให้นางวันทองเริ่มเห็น ใจขุนช้าง

พิมพิลาไลย

            นางพิมพิลาไลย   หรือ นางวันทอง ผู้หญิงที่สวยที่สุดในเมืองสุพรรณบุรี  แต่ก็ปากจัดไม่แพ้ใครเพราะความสวยของนางทำให้เกิดการแย่งชิงกันระหว่างขุนช้างกับชุนแผน แต่สุดท้ายนางก็ต้องถูกประหารชีวิตเพราะไม่สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่กับใคร ระหว่าง ขุนช้าง ขุนแผน หรือ พลายงามผู้เป็นลูก พระพันวษาจึงประณามนางวันทองว่าเป็นหญิงสองใจ
                นางพิมพิลาไลยเป็นหญิงรูปงามแต่ปากจัดเป็นบุตรของพันศรโยธาและนางศรีประจัน  ต่อมาได้แต่งงานกับพลายแก้วซึ่งภายหลังมีลูกชายด้วยกัน คือ พลายงาม  และได้เปลี่ยนชื่อเป็นนางวัน ต่อมานางถูกแม่บังคับให้แต่งงานใหม่กับขุนช้างทำให้ถูกประนามว่าเป็นหญิงสอง ใจ นางวันทองเป็นคนที่ไม่กล้าที่จะตัดสินใจ  เมื่อมีคดีฟ้องร้องถึงสมเด็จพระพันวษา ซึ่งพระองค์ให้นางเลือกว่าจะอยู่กับใครแต่นางตัดสินใจไม่ถูกจึงถูกสั่ง ประหารชีวิต
             
นางวันทองมีลักษณะสาวชาวบ้านจึงเป็นคนซื่อ ไม่ค่อยฉลาดเท่าใดนัก ทำอะไรก็ทำตามประสาหญิงชาวบ้าน แต่สังคมไทยมีความจำกัดให้ผู้หญิงอยู่ในกรอบของประเพณี จึงทำให้ดูเหมือนว่านางวันทองไม่รักนวลสงวนตัว
               
อย่างไรก็ตาม นางวันทองก็ยังมีภาพลักษณ์ด้านดีที่เห็นได้ชัด คือ ความละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการรับรู้ถึงความดีของผู้อื่นที่ปฏิบัติต่อนาง ดังจะเห็นได้จาก  ถึงแม้นางจะไม่ได้รักขุนช้างแต่ด้วยความดีของขุนช้างและความผูกพันที่อยู่ กันมา 15 ปี ทำให้นางเป็นห่วงเป็นใยความทุกข์สุข และความรู้สึกของขุนช้างไม่น้อย   นางวันทองยังเป็นแม่ที่ดี คือเมื่อเห็นลูกกำลังกระทำผิดก็ไม่เห็นดีเห็นงามด้วย ดังจะเห็นได้จากตอนที่พลายงามบุกขึ้นเรือนขุนช้างในยามวิกาล  นอกจากนี้นางวันทองยังเป็นคนกล้าที่จะยอมรับชะตากรรมของตัวเอง มีน้ำใจเมตตา และให้อภัยโดยไม่เคียดแค้น        

ขุนแผน

            ขุนแผน หรือ พลายแก้ว นักรักและนักรบที่ไม่ยอมเป็นรองใคร มีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นที่รักแก่บุคคลทั่วไปบุคคลที่ขุนแผนยอมอ่อนข้อให้มีเพียงสองคน คือ สมเด็จพระพันวษา เจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยา และนางทองประศรีขุนแผนเป็นคนที่เจ้าชู้หาตัวจับได้ยาก แม้ว่าขุนแผนจะเป็นผู้มีฤทธิ์เดชเป็นที่ยำเกรง แต่ในด้านอื่น ขุนแผนเป็นรองขุนช้างอยู่สองประการใหญ่คือ ความรักเดียวใจเดียว และ ความร่ำรวย  ด้วยความเจ้าชู้ของขุนแผน นอกจากหน้าตาจะหล่อเหลาเอาการแล้ว ยังเป็นคนพูดจาอ่อนหวาน และ  ถนัดการใช้คาถามหาละลวยหากพบเห็นใครแล้วนึกชอบก็จะเกี้ยวพาราสี ซ้ำยังเป่าคาถาจนสาวหลงกันงมงายนอกเหนือจากนางพิมพิลาไลย  ซึ่งเป็นหญิงคนแรกในดวงใจของขุนแผนแล้ว ยังมีผู้หญิงอีก ๔ คน ที่ตกเป็นเมียของขุนแผน คือ นางสายทอง  นางลาวทอง  นางแก้วกิริยา  และนางบัวคลี่
            ขุนแผนเดิมชื่อพลายแก้วเป็นบุตรของขุนไกรพลพ่ายและนางทองประศรีมีรูปร่าง หน้าตางดงามคมสัน สติปัญญาเฉลียวฉลาด ด้วยลักษณะนิสัยเป็นคนเจ้าชู้และมีคารมคมคาย จึงง่ายต่อการพิชิตใจหญิงสาวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของพลายแก้ว  มีดาบฟ้าฟื้นเป็นอาวุธประจำตัว พาหนะคู่ใจคือม้าสีหมอก ได้บวชเณรและเรียนวิชาที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลยจนสุดท้ายไปเป็นศิษย์สมภารคง วัดแค มีความรู้ทางโหราศาสตร์ ปลุกผี อยู่ยงคงกระพันคาถามหาละลวยทำให้ผู้หญิงรักตลอดจนวิชาจากตำรับพิชัยสงคราม และยังมีความสามารถเทศนได้ไพเราะจับใจอีกด้วย   ต่อมาสึกจากเณรแล้วแต่งงานกับนางพิมพาลาไลย ไม่นานก็ถูกเรียกตัวไปเป็นแม่ทัพรบกับเชียงใหม่    ครั้นได้ชัยชนะกลับมาก็ได้เป็นขุนแผนแสนสะท้านแต่ปรากฎว่าภรรยาแต่งงาน ใหม่กับขุนช้าง  ภายหลังขุนแผนต้องโทษถูกจำคุกถึง ๑๕ ปี จึงพ้นโทษ และทำสงครามกับเชียงใหม่อีกครั้งเมื่อชนะกลับมาก็ได้ตำแหน่งเป็นพระสุริน ทรฤาไชย เจ้าเมืองกาญจนบุรี

สมเด็จพระพันวษา

            สมเด็จพระพันวษา เป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ยุคนี้เป็นยุคที่บ้านเมืองเจริญรุ่งรือง มีความอุดมสมบูรณ์ราษฎรทั้งหลายอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข บรรดาประเทศใกล้เคียงก็อ่อนน้อม เพราะยำเกรงบารมี สมเด็จพระพันวษามีนิสัย  โกรธง่าย  แต่พระองค์ก็นับว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความยุติธรรมต่อพวกทหารเสนา อำมาตย์ และราษฎรพอสมควร เมื่อมี คดีฟ้องร้องกัน ก็จะให้มีการไต่สวน และพิสูจน์ความจริง
คุณค่าด้านวรรณศิลป์

สะท้อนถึงอารมณ์โกรธแค้นและสะเทือนใจ
...ยิ่งคิดเดือดดาลทะยานใจ                ฉวยได้กระดานชะนวนมา
ร่างฟ้องท่องเทียบให้เรียบร้อย                        ถ้อยคำถี่ถ้วนเป็นหนักหนา...

มีการพรรณณาถึงเรื่องฝันร้าย
...ครั้งนี้น่าจะมีอันตราย                    ฝันร้ายสาหัสตัดตำรา
พิเคราะห์ดูทั้งยามอัฐกาล                 ก็บันดาลฤกษ์แรงเป็นหนักหนา
มิรู้ที่จะแถลงแจ้งกิจจา                     กอดเมียเมินหน้าน้ำตากระเด็น...

ใช้ถ้อยคำเกิดความเศร้าสะเทือนใจสงสารในชะตากรรมของตัวละคร
...วันนี้แม่จะลาพ่อพลายแล้ว              จะจำจากลูกแก้วไปสูญสิ้น
พอบ่ายก็จะตายลงถมดิน                  ผินหน้ามาแม่จะขอชม
เกิดมาไม่เหมือนกับเขาอื่น                มิได้ชื่นเชยชิดสนิทสนม...
...ร่ำพลางนางกอดพระหมื่นไวย          น้ำตกไหลซบเซาไม่เงยหน้า
ง่วงหงุบฟุบลงกับพสุธา                    กอดลูกยาแน่นิ่งไม่ติงกาย ฯ

 การบรรยายโวหาร
ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง                   จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดมฆสิ้น
จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน          เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว

เชิงเปรียบเทียบ
อีวันทองตัวมันเหมือนแก้ว                 ถ้าตัดโคนขาดแล้วก็ใบเหี่ยว
ใครจะควรสู่สมอยู่กลมเกลียว             ให้เด็ดเดี่ยวรู้กันแต่วันนี้

สัมผัสแบบกลอนแปด
ครานั้นพระองค์ทรงธรณินทร์                        หาได้ยินวันทองทูลขึ้นไม่
พระตรัสความถามซักไปทันใด                        ฤามึงไม่รักใครให้ว่ามา

กวีแทรกอารมณ์ขันในการแต่ง
ขุนช้างเห็นข้าไม่มาใกล้                    ขัดใจลุกขึ้นทั้งแก้ผ้า
แหงนเถ่อเป้อปังยืนจังกา                  ย่างเท้าก้าวมาไม่รู้ต้ว
ยายจันงันงกยกมือไหว้                     นั่นพ่อจะไปไหนพ่อทูนหัว
ไม่นุ่งผ่อนนุ่งผ้าดูน่ากลัว                   ขุนช้างมองดูตัวก็ตกใจ


คุณค่าด้านสังคม
            แสดงค่านิยมและความเชื่อของคนในสังคมสมัยอยุธยาซึ่งแม้ ว่าจะไม่อาจประเมินข้อเท็จจริงทางสังคมได้เช่นเดียวกันกับเอกสารทางประวัติ ศาสตร์  แต่วรรณคดีเรื่องนี้ก็เป็นภาพสะท้อนที่แสดงให้เห็นโลกทัศน์ของครอบครัวขุน นางในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ว่ามีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหา กษัตริย์อย่างสุดสูงเพียงใด สะท้อนให้ว่าในสังคมสมัยนั้นกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชยึ่งมีอำนาจ อยู่เหนือกฎหมายและสะท้อนให้เห็นในสมัยนั้นจะมีการตีฆ้องบอกเวลาและจะมี เรื่องเกี่ยวความเชื่อเช่นเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ   คาถาอาคม   เรื่องโชคชะตาดวงของคน

ที่มาของเรื่อง ขุนช้างขุนแผน

 (1)   เรื่องนี้เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจริงในสมัยสมเด็จพระพันวษา แห่ง กรุงศรีอยุธยา
      - ตำนวนเดิมเล่าเพียงว่า มีนายทหารผู้มีฝีมือนายหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นขุนแผน ได้ถวาย ดาบฟ้าฟื้นแด่สมเด็จพระพันวษา
(2)   ต่อมามีการนำเรื่อง ขุนช้างขุนแผน มาแต่งเป็นกลอนสุภาพและใช้ บทขับเสภา โดยใช้กรับเป็นเครื่องประกอบจังหวะ
     - บทขับเสภาที่นิยมมากที่สุดคือเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ซึ่งได้รับการยกย่อจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดของกลอนสุภาพที่มีความไพเราะ ดีเลิศทั้งเนื้อเรื่องและ กระบวนกลอน
(3)   บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน มีกวีเอกหลายท่านร่วมกันแต่ง สันนิษฐานว่าแต่งตั้งแต่สมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
     - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า
 *ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง และตอน ขุนแผนพานางวันทองหนี เป็นพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
          *ตอนขุนช้างขอนางพิม และ ตอนขุนช้างตามนางวันทอง เป็นพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์)
          *ตอน กำเนิดพลายงาม เป็นสำนวนของสุนทรภู่
(4)   ตอน ขุนช้างถวายฎีกานี้ ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง แต่เป็นหนึ่งใน 8 ตอนที่ได้รับการยกย่องจากสมาคมวรรณคดี (สมัย ร.7) ว่าแต่งดีเป็นเยี่ยม โดยเฉพาะกระบวนกลอนที่สื่ออารมณ์สะเทือนใจ

คำอธิบายศัพท์
1. ทรามสวาดิ                          เป็นที่รัก
2. ตกว่า                                ราวกับว่า
3. ฏีกา                                 คำร้องทุกข์ที่ยื่นถวายพระเจ้าแผ่นดิน
4. เพรางาย                            เวลาเช้า และเวลาเย็น
5. เมรุไก                                ภูเขา
6. ร้องเกน                              ร้องตะโกนดังๆ
7. สะเดากลอน                         ทำให้กลอนประตูหลุดออกได้ด้วยคาถาอาคม
8. แหงนเถ่อ                             ค้างอยู่
9. อุธัจ                                   ตกประหม่า
10. มินหม้อ                             เขม่าดำที่ติดก้นหม้อ
11. ส่งทุกข์                              เข้าสวม
12. ขี้ครอก                              ลูกของข้าทาส
13. เครื่องอาน                          เครื่องกิน
14. จวงจันทน์                          เครื่องหอมที่เจือด้วยไม้จวงและไม้จันทน์
15. ฉวยสบเพลง                       บังเอิญถูกจังหวะ

การลงโทษ
1. ประหาร  (หนักที่สุด)
2. ตัดตีนสินมือ
3. โทษทวน  (เฆี่ยน)
4. โทษจำ
5. ปรับไหม
6. ภาคฑัณฑ์  (กักบริเวณ)


ประเภทของเมีย
1. กษัตริย์พระราชทาน   .....ปฏิเสธไม่ได้  และต้องเป็นเมียแต่ง เช่น พระพันวษายกนางสร้อยฟ้าให้เป็นเมียพลายงาม
2. เมียกลางเมือง   .....ถูกคลุมถุงชน เช่น นางศรีประจันบังคับให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้าง
3. เมียนอกเมือง   .....เมียน้อย 
4. เมียกลางทาษี   .....เมียทาส
การเปรียบเทียบ

1. อุปมา คือ การเปรียบเทียบด้วยการใช้คำว่า เหมือน ดุจ ดัง เพียง ราว เฉก เล่ห์ กล ปูน ต่าง เปรียบ พ่าง ฯลฯ
2. อุปลักษณ์ คือ การเปรียบโดยใช้คำว่า คือ เป็น ใช่ หรือ ละคำเปรียบไว้
3. บุคคลวัต คือ การเปรียบให้สิ่งนั้นทำกริยาเหมือนคน
4. อติพจน์ คือ การเปรียบเกินจริง
5. อวพจน์ คือ การกล่าวน้อยเกินจริง (เช่น รออีกอึดใจเดียว)
6. นามนัย คือ การใช้จุดเด่นกล่าวแทนความทั้งหมด
7. สัญลักษณ์ คือ การเปรียบโดยใช้สิ่งแทน
8. ปฏิพากย์ คือ การเปรียบโดยใช้การขัดแย้ง
9. สัทพจน์ คือ การใช้เสียงธรรมาชาติ
10. อุปมานิทัศน์ คือ การเปรียบโดยใช้ เรื่อง หรือ นิทานสอนใจ
11. เล่นคำ คือ การเล่นคำพ้อง
12. คำถามเชิงวรรณศิลป์ คือ คำถามที่ผู้ถามไม่ได้ต้องการคำตอบ
            ขุนแผน นอกจากจะเป็นผู้มีฤทธิ์เดช เก่งกล้าเรืองวิทยาคมแล้ว ยังมีของวิเศษประจำตัวอีก ๓ อย่าง คือ    กุมารทอง ม้าสีหมอก และดาบฟ้าฟื้น ของวิเศษทั้ง ๓ อย่างนี้ เป็นของที่หาได้ยากยิ่ง เพราะไม่ใช่ว่าจะมีเงินแล้วจะหาซื้อได้
แต่การที่จะให้ได้มาต้องประกอบไปด้วยคุณสมบัติหลายประการของผู้เป็นเจ้าของซึ่งก็คือ ต้องมีวิชาอาคมและต้องรู้วิธีที่จะได้มา
ขุนแผนได้ใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ ขุนแผนใช้เวลาไม่น้อยในการเสาะแสวงหากว่าจะได้ครบทั้ง ๓ อย่าง ซึ่งเมื่อได้มาแล้ว
ขุนแผนเสมือน "เสือติดปีก" จนพาให้ชีวิตก้าวหน้าและยิ่งใหญ่ในท้ายที่สุด

กุมารทอง


            กุมารทองคือผีเด็ก ซึ่งเป็นลูกของขุนแผนกับนางบัวคลี่ เมื่อตอนที่ขุนแผนถูกนางบัวคลี่ลอบฆ่า แต่ขุนแผน   รู้ตัวตกดึกจึงผ่าท้องนางบัวคลี่แล้วนำเด็กไปทำพิธีย่างไฟให้แห้งสนิท ในโบสถ์ ปลุกเสกด้วยคาถาอาคมจนลุกขึ้นยืน  นั่งได้ จึงตั้งชื่อว่า กุมารทอง  กุมารทองนี้ติดตามขุนแผนไปทุกหนทุกแห่ง โดยไม่มีใครมองเห็น คอยรายงานเหตุการณ์ ต่าง ๆให้ขุนแผนรู้อยู่เสมอ บางครั้งก็สามารถแปลงเป็นคนได้

ดาบฟ้าฟื้น

            ดาบฟ้าฟื้นเกิดจาก การเอาเหล็กรวมทั้งโลหะอื่นแล้วก๋นำมาหล่อรวมกัน พอฤกษ์งามยามดีก็ตั้งศาลเพียงตา
แล้วให้ช่างตีเหล็กบรรจงแต่งตามรูปที่ต้องการ เมื่อเสร็จแล้วมีสีเขีบวแมลงทับ จากนั้นก็เจาะไม้ชัยพฤกษ์เอาผมผีพราย
ตัวร้าย ๆ ใส่เข้าไปแลเวเอาชันกรอกทับเป็นด้าม เมื่อขุนแผนลองแกว่งดูก็เกิดเมฆลมพัดตลบอบอวลฟ้าผ่าดังเปรี้ยงปร้าง
แล้วเอาไม้สรรพยามาทำฝักแต่งเติมเสริมความงามจนพอใจจึงตั้งชื่อว่า  ดาบฟ้าฟื้น    


ม้าสีหมอก

            ม้าสีหมอกเป็นม้าแสนรู้พาหนะประจำตัวขุนแผน แม่เป็นม้าเทศชื่อ อีเหลือง พ่อเป็นม้าน้ำ คลอด
จากท้องแม่เมื่อวันเสาร์ขึ้น 9 ค่ำ ตัวสีหมอก ตาสีดำ หลวงศรีวรข่านได้รับคำสั่งจากสมเด็จพระพันวษาให้ไป
ซื้อม้าที่เมืองมะริดประเทศอินเดีย สีหมอกซึ่งเป็นลูกม้ารุ่นหนุ่มก็ติดตามแม่มาด้วย แต่ความซุกซนทำให้เที่ยว
ไล่กัดม้าตัวอื่นๆ อยู่เสมอ จึงทำให้คนดูแลม้าไล่ตีเอาเนืองๆ ขุนแผนไปพบเข้าที่เพชรบุรี เห็นสีหมอกมีลักษณะดี
ต้องตามตำราจึงเข้าไปขอซื้อแล้วเสกหญ้าให้กิน สีหมอกก็ติดตามขุนแผนไปโดยดี

สารัตถะของเสภา ขุนช้างขุนแผน
            เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นวรรณคดีที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวิตชาวบ้านตลอดทั้งเรื่อง  มีบางตอนกล่าวถึงพระมหากษัตริย์   
แต่เนื้อความและจุดมุ่งหมายสำคัญไม่ได้ต้องการแสดงเรื่องราวของพระมหากษัตริย์  ดังนั้น  การแต่งเรื่องนี้เป็นกลอนเสภา  จึงเหมาะกับการบรรยายความรู้สึก  หรือบทสนทนาของตัวละครในเรื่องที่เป็นคนสามัญ  การบรรยายสภาพความเป็นอยู่ของ ชาวเมือง  สภาพบ้านเมือง สภาพธรรมชาติ  นอกจากนี้การแต่งเป็นกลอนเสภายังเหมาะกับเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาความ รัก  ตัวละครมีลักษณะเป็นคนธรรมดา  มีกิเลส  มีตัณหา  มีการชิงรักหักสวาท  เนื้อเรื่องแปลกไปจากวรรณคดีเรื่องอื่นๆ 
            เรื่องขุนช้างขุนแผนมีคุณสมบัติเป็น สัจนิยม  คือ เนื้อเรื่องมีความสมจริง  ลักษณะอุปนิสัยของตัวละครก็เหมือนมนุษย์จริงๆ 
การบรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ  และการใช้คาถาอาคมก็เป็นจริงเป็นจัง  ทำให้เราได้มองเห็นภาพชีวิตในสมัยนั้นในด้านต่างๆ  คือ

1.  ด้านขนบธรรมเนียม  ประเพณี  วัฒนธรรม ได้มีการกล่าวถึง ขบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไทยแทรกไว้ในเนื้อเรื่อง นับตั้งแต่การเกิดจนกระทั่งตายเลยทีเดียว
ประเพณีบวชเณร
            สมัยก่อนนั้นไม่มีโรงเรียน พ่อแม่จึงมักพาลูกชายไปบวชเรียน เพื่อฝากให้พระสั่งสอนวิชาการต่าง ๆ และอบรมศีลธรรม เพราะถือกันว่าวัดเป็นแหล่งรวมวิชาความรู้ โดยมีพระภิกษุเป็นผู้สอน วิชาที่เรียนก็มี วิชาล่องหนหายตัว อยู่ยงคงกระพัน คาถาอาคมต่าง ๆ ปลุกผีและตำรับพิชัยสงคราม เป็นต้น
ประเพณีการทำศพ
            การแห่นั้น จะมีเครื่องดนตรีประโคม คือ ปี่ชวาและกลองชนะ มีพระสวดนำหน้าศพ มีการโปรยข้าวตอกไปตลอดทาง
กล่าวกันว่าการโปรยข้าวตอก คือ ปริศนาธรรม ว่าข้างตอกนั้นไม่อาจงอกเป็นต้นข้าวได้อีก คนที่ตายไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นขึ้นได้อีกเช่นเดียวกัน ส่วนพวกญาติพี่น้องก็สวมเสื้อผ้าสีขาวเดินตามไป
ประเพณีการเทศน์มหาชาติ
            การเทศน์มหาชาติถือว่าเป็นงานทำบุญประจำปีที่สำคัญมาก เรื่องที่จะใช้เทศน์ก็คือเรื่อง พระเวสสันดรชาดก ซึ่งมีทั้งหมด
๑๓ กัณฑ์ ผู้ที่รับเป็นเจ้าของกัณฑ์แต่ละกัณฑ์ จะต้องจัดเตรียมเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ให้เข้ากับกัณฑ์ของตนด้วย ซึ่งมักจะ
เป็นผลไม้จำพวกกล้วย ส้ม มะพร้าวอ่อน ตลอดจนของแห้งต่าง ๆ และอ้อย เป็นต้น           

2.  สภาพทางภูมิศาสตร์  เรื่อง ขุนช้างขุนแผนนี้อาศัยสถานที่จริงเป็นฉากประกอบในการดำเนินเรื่อง  เช่น  จังหวัดสุพรรณบุรี  จังหวัดกาญจนบุรี  วัดวาอารามต่างๆ  สถานที่ที่ระบุไว้ระหว่างทางจากอยุธยาไปเชียงใหม่  ทำให้ผู้อ่านนึกวาดภาพและกำหนดสถานการณ์ต่างๆ  ตามท้องเรื่องให้เกิดขึ้นในมโนภาพได้

3.  ค่านิยมเกี่ยวกับไสยศาสตร์และโหราศาสตร์  เรื่องขุนช้างขุนแผนแสดง ค่านิยมทำนองนี้ไว้มากมายเกือบจะตลอดทั้งเรื่อง  ตัวละครดำเนินชีวิตไปภายใต้อิทธิพลของไสยศาสตร์และโหราศาสตร์  เหมือนเรื่องเก่าๆของชาติต่างๆมากมาย  ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครในบางครั้งขึ้นอยู่กับความเชื่อทางด้านนี้  และแสดงให้เห็นในเนื้อเรื่องว่าความรู้ทางด้านนี้ก็ทำให้เกิดความสำเร็จใน การประกอบกิจกรรมหลายประการ

4.  ลักษณะของสังคมไทย  ความเป็นอยู่  แบบแผนของการดำเนินชีวิต  ในเรื่องนี้มีปรัชญาและความจริงของชีวิตปรากฎอยู่มากสภาพการดำเนินชีวิตของ คนในเมืองหลวงและในชนบทเป็นอย่างไร  ในเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวไว้อย่างละเอียด  แสดงแนวความคิดของคนโบราณทั้งชายและหญิง  ซึ่งเราอาจยึดถือเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตปัจจุบันได้ดี  เช่น  ชายมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์  หญิงมีความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเชื่อฟังอยู่ในโอวาทของสามี  การเป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณ  เห็นคุณค่าของการศึกษา  การรู้จักกาลเทศะ ฯลฯ
ความรู้เกี่ยวกับวรรณคดี
1. ลีลาของวรรณคดีไทย
     • เสาวรจนี          -   ชมความงาม
     • นารีปราโมทย์   -   เกี้ยวพาราสี
     • พิโรธวาทัง       -   โกรธ
     • สัลลาปังคพิสัย  -   เศร้า
2. ขนบ (ธรรมเนียม) การแต่งวรรณคดีร้อยกรองสมัยโบราณ
   2.1) บทไหว้ครู (บทประณามพจน์)
   2.2) บทแต่งตัว - เป็นการผ่อนคลายอารมณ์
   2.3) นิราศ - เป็นการกล่าวคิดถึงนางเมื่อต้องจากไปที่ไกล
3. วัฒนธรรมไทย
   3.1) วัฒนธรรม เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
          • วัตถุธรรม : จับต้องได้
          • คติธรรม : ข้อคิด เช่น สุภาษิต คำพังเพย
          • เนติธรรม : กฏระเบียบ
          • สหธรรม : ธรรมเนียม ประเพณี มารยาท
   3.2) ตัวอย่างวัฒนธรรมไทย
          • เกี่ยวกับกษัตริย์ : การสวมมงกุฏ , ฉัตร , โขนเรือพระที่นั่ง , ธงครุฑ , การหมอบคลานเข้าเฝ้า(สมัยโบราณ)
          • ธรรมเนียมไทย : การต้อนรับแขก
          • จารีตประเพณี : การเลี้ยงดูพ่อแม่ และ การสู่ขอผู้หญิง
4. งานศิลปะไทย
   4.1) สถาปัตยกรรม : วัด โบสถ์ วิหาร เจดีย์ พระปรางค์ มณฑป เรือนไทย
   4.2) ประติมากรรม : ครุฑยุดนาค สิงห์อัด กินนรรำ เทพนม ฐานปัทม์
   4.3) จิตรกรรม : ลายกระหนก ลายไทย
   4.4) วรรณกรรม : ไตรภูมิพระร่วง มหาชาติเวสสันดร
   4.5) ดนตรีและดุริยางคศิลป์ : เพลงพระสุบิน เพลงฉุยฉาย เพลงพระยาเดิน
   4.6) หัตถกรรม : กรองทอง ตาด อุบะ พวงมาลัย บุหงารำไป
   4.7) การละคร : กรอบหน้า ชฎา
   4.8) การละเล่น : หุ่น โขน
   4.9) แสงสี : ตะไล พะเนียง ละทา
   4.10) คหกรรม : การทำอาหาร
5. ความเชื่อ - ค่านิยมไทย
   5.1) ความเชื่อ
          • ความเชื่อเรื่องพุทธศาสนา : บุญกรรม  สังสารวัฏ  อนิจจัง
          • สิ่งศักดิ์สิทธิ์ : พระพุทธรูป  พระพุทธบาท  เทวรูป
          • ผีสางนางไม้
          • ไสยศาสตร์
          • ความฝัน : บุพนิมิต   - ฝันบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้น
                           จิตนิวรณ์  - ฝันเพราะใจคิด
                           เทพสังหร - ฝันเพราะเทวดาดลใจ
                           ธาตุโขภ   - ฝันเพราะไม่สบาย , ธาตุในกายวิปริต
          • โชคลาง : ฤกษ์  ทิศทาง  ตากระตุก  จิ้งจกทัก  แมงมุมตีอก  นกแสก  ฉัตรหัก
   5.2) ค่านิยม - สิ่งที่มีค่าควรแก่การยกย่อง
          • ค่านิยมของไทย : ความกตัญญู , รักบ้านเกิด , การมีความรู้ , ลูกผู้ชายลายมือคือยศ , การบวชเรียน
          • ค่านิยมที่น่ายกย่อง : ความรับผิดชอบ , ความซื่อสัตย์
          • คำสอนของคนไทย : ผู้หญิงควรรักนวลสงวนตัว , การรักษามารยาท

6. นานาทรรศนะในวรรณคดีไทย
   6.1) ความรัก
          • รัก คือ ความหลง
          • รักมีอาณุภาพ
          • รักต่างชนชั้นไม่ดี
   6.2) ความรักศักดิ์ศรี
ตัวอย่างโวหารภาพพจน์ที่ปรากฏในเรื่อง
ภาพพจน์อุปลักษณ์
                                เต่าเตี้ยดอกอย่าต่อให้ตีนสูง                   มิใช่ยูงอย่ามาย้อนให้เห็นขัน
                 หิ่งห้อยหรือจะแข่งแสงพระจันทร์                           อย่าปั้นน้ำให้หลงตะลึงเงา
                                                                                      (ตอนนางวันทองด่าขุนช้าง)
ภาพพจน์อุปมา
                               เห็นคนนอนล้อมอ้อมเป็นวง                   ประตูลั่นมั่นคงขอบรั้วกั้น
                 กองไฟสว่างดังกลางวัน                                       หมายสำคัญตรงมาหน้าประตู
                                                         (ตอนจมื่นไวยขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อพามารดาไปอยู่ด้วย)
ภาพพจน์อติพจน์
                             ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า                            แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล
                 ดับโมโหโกรธาทำว่าไป                                        เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี
                                                       (ขุนช้างทราบว่าจมื่นไวยมาพาตัวนางวันทองไปอยู่ด้วย
ภาพพจน์สัทพจน์
                    ใต้เตียงเสียงหนูก็กุกกก                                     แมงมุมทุ่มอกที่ริมฝา
         ยิ่งหวาดหวั่นพรั่นตัวกลัวมรณา                                      ดังวิญญาณ์นางจะพรากไปจากกาย
                                                                                         (นางวันทองตื่นจากฝันร้าย)
การบรรยายโวหาร
            ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง               จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น
จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน                      เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว 

เชิงเปรียบเทียบ
           อีวันทองตัวมันเหมือนแก้ว               ถ้าตัดโคนขาดแล้วก็ใบเหี่ยว
ใครจะควรสู่สมอยู่กลมเกลียว                   ให้เด็ดเดี่ยวรู้กันแต่วันนี้ 

สัมผัสแบบกลอนแปด 
           ครานั้นพระองค์ทรงธรณินทร์             หาได้ยินวันทองทูลขึ้นไม่ 
พระตรัสความถามซักไปทันใด                  ฤามึงไม่รักใครให้ว่ามา 

กวีแทรกอารมณ์ขันในการแต่ง 
            ขุนช้างเห็นข้าไม่มาใกล้                        ขัดใจลุกขึ้นทั้งแก้ผ้า
แหงนเถ่อเป้อปังยืนจังกา                               ย่างเท้าก้าวมาไม่รู้ต้ว
ยายจันงันงกยกมือไหว้                                  นั่นพ่อจะไปไหนพ่อทูนหัว
ไม่นุ่งผ่อนนุ่งผ้าดูน่ากลัว                                ขุนช้างมองดูตัวก็ตกใจ 
                                                                                                                                             
 

ถอดคำประพันธ์ ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 1

            จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม             เมื่อเป็นความชนะขุนช้างนั่น
กลับมาอยู่บ้านสำราญครัน                            เกษมสันต์สองสมภิรมย์ยวน
พร้อมญาติขาดอยู่แต่มารดา                           นึกนึกตรึกตราละห้อยหวน
โอ้ว่าแม่วันทองช่างหมองนวล                        ไม่สมควรเคียงคู่กับขุนช้าง
เออนี่เนื้อเคราะห์กรรมนำมาผิด                      น่าอายมิตรหมองใจไม่หายหมาง
ฝ่ายพ่อมีบุญเป็นขุนนาง                               แต่แม่ไปแนบข้างคนจังไร

ถอดความได้ว่า
            เมื่อพลายงามชนะความขุนช้าง ก็ได้กลับมาอยู่บ้านอย่างสุขสบาย ขาดก็แต่มารดา พลายงามคิด ว่าแม่วันทองไม่ควรอยู่กับขุนช้าง อาจจะเป็นเคราะห์กรรมของแม่วันทองถึงต้องมาอับอายแบบนี้ พ่อก็เป็นถึงขุนนาง แต่แม่กลับไปอยู่กับคนจัญไร

            รูปร่างวิปริตผิดกว่าคน                     ทรพลอัปรีย์ไม่ดีได้
ทั้งใจคอชั่วโฉดโหดไร้                                  ช่างไปหลงรักใคร่ได้เป็นดี
วันนั้นแพ้กูเมื่อดำน้ำ                                   ก็กริ้วซ้ำจะฆ่าให้เป็นผี
แสนแค้นด้วยมารดายังปรานี                         ให้ไปขอชีวีขุนช้างไว้
แค้นแม่จำจะแก้ให้หายแค้น                          ไม่ทดแทนอ้ายขุนช้างบ้างไม่ได้
หมายจิตคิดจะให้มันบรรลัย                          ไม่สมใจจำเพาะเคราะห์มันดี

คำศัพท์
            วันนั้นแพ้กูเมื่อดำน้ำ หมายถึง จมื่นไวยเท้าความถึงตอนที่ขุนช้างดำน้ำพิสูจน์โทษเมื่อเป็นคดีกับตัว
ถอดความได้ว่า
            รูปร่างน่าเกลียด ใจคอโหดเหี้ยม ไม่รู้ว่าแม่วันทองไปรักขุนช้างได้อย่างไร ท้าวความถึงตอนที่ขุนช้างดำน้ำเพื่อพิสูจน์โทษเมื่อเป็นคดีกับตน พลายงามโกรธมากและจะฆ่าขุนช้างให้ตาย แต่มารดาห้ามและขอชีวิตไว้

            อย่าเลยจะรับแม่กลับมา                   ให้อยู่ด้วยบิดาเกษมศรี
พรากให้พ้นคนอุบาทว์ชาติอัปรีย์                     ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา
อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ                                   เมื่อไรตะวันจะลับหล้า
เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา                         จวนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร
เงียบสัตว์จัตุบททวิบาท                                ดาวดาษเดือนสว่างกระจ่างไข
น้ำค้างตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ                        สงัดเสียงคนใครไม่พูดจา
คำศัพท์
            เมรุไกร หมายถึง ภูเขาใหญ่
            จัตุบททวิบาท หมายถึง (สัตว์) สี่เท้า  สองเท้า
ถอดความได้ว่า
            พลายงามแค้นขุนช้างมาก จะต้องหาทางแก้แค้นขุนช้างให้ได้ ใจก็อยากให้ขุนช้างตาย แต่ขุนช้างดวงดีไม่เป็นดังที่ตนหวังไว้ ก็เลยจะรับแม่(นางวันทอง)ให้มาอยู่บ้านกับพ่อ(ขุนแผน) จะพาแม่หนีให้พ้นจากขุนข้างคนชั่วช้าใจทราม ยิ่งคิดก็ยิ่งคับแค้นใจ กระวนกระวายว่าเมื่อไรจะค่ำที่จะได้ไปรับแม่กลับบ้าน จนตะวันลับขอบฟ้า ไม่มีแม้แต่เสียงเท้าสัตว์เดิน ดาวที่อยู่บนท้องฟ้าส่องแสงสว่าง  ในตอนมืดอากาศเริ่มเย็นมีน้ำค้าง เงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงคนพูด ได้ยินเสียง

            ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง               ลอยลมล่องดังถึงเคหา
คะเนนับย่ำยามได้สามครา                                        ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน
ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง                               จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น
จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน                                  เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว
ลงยันต์ราชะเอาปะอก                                 หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว
เป่ามนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว                             พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา

คำศัพท์
            มงคล ในที่นี้หมายถึงสิ่งที่ทำเป็นวงใช้สวมศีรษะ
            ทักทิน หมายถึง วันชั่วร้ายตามความเชื่อโหราศาสตร์
ถอดความได้ว่า
            เสียงฆ้องตีบอกเวลาจากวัง ลอยมาตามลมได้ยินถึงบ้าน นับได้เป็นเวลาตีสาม เป็นเวลาที่จะได้ปลดปล่อยความชั่วร้าย  เมื่อท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวและดวงจันทร์สว่างไม่มีเมฆบดบัง จึงได้นำเหล้าและอาหารไปเซ่นให้ผีพรายกิน เอาขมิ้นมาทาตามตัว ลงยันต์ที่อกและเอาสิ่งมงคลมาใส่หัว เป่ามนตร์คาถา เพื่อให้หลงมนตร์ที่เป่าลงไป


            จับดาบเคยปราบณรงค์รบ                เสร็จครบบริกรรมพระคาถา
ลงจากเรือนไปมิได้ช้า                                  รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน
เห็นคนนอนล้อมอ้อมเป็นวง                          ประตูลั่นมั่นคงขอบรั้วกั้น
กองไฟสว่างดังกลางวัน                                หมายสำคัญตรงมาหน้าประตู
จึงร่ายมนตรามหาสะกด                               เสื่อมหมดอาถรรพณ์ที่ฝังอยู่
ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู                                    คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ

คำศัพท์
            บริกรรม หมายถึง สำรวมในร่ายมนตร์หรือเสกคาถาซ้ำๆหลายๆหน เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์
ถอดความได้ว่า
            นำดาบที่เคยรบมาร่ายมนตร์เสกคาถา และลงจากเรือนรีบไปบ้านขุนช้าง เมื่อมาถึงก็เห็นคนนอนหลับกันหมด ประตูปิดสนิท มีกองไฟสว่างอยู่หน้าบ้าน พลายงามรีบมาที่หน้าประตู ร่ายมนตร์สะกดพวกผีพรายของขุนช้าง ผู้คนในบ้านต่างง่วงหลับด้วยมนตร์ของพลายงาม

            ทั้งชายหญิงง่วงงมล้มหลับ
นอนทับคว่ำหงายก่ายกันเปรอะ
จี่ปลาคาไฟมันไหลเลอะ
โงกเงอะงุยงมไม่สมประดี
ใช้พรายถอดกลอนถอนลิ่ม
รอยทิ่มถอดหลุดไปจากที่
ย่างเท้าก้าวไปในทันที
มิได้มีใครทักแต่สักคน
มีแต่หลับเพ้อมะเมอฝัน
ทั้งไฟกองป้องกันทุกแห่งหน
ผู้คนเงียบสำเนียงเสียงแต่กรน
มาจนถึงเรือนเจ้าขุนช้าง
ถอดความได้ว่า
            ผู้คนในบ้านต่างก็ง่วงหลับด้วยมนต์ของพลายงาม นอนทับกันไปมา พลายงามจึงใช้ให้พรายไปถอดกลอนประตู และก้าวเข้าไปถึงเรือนของขุนช้าง
  
            จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย
ภูตพรายโดดเรือนสะเทือนผาง
สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง
ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้
หอมหวนอวลอบบุปผชาติ
เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว
เรณูฟูร่อนขจรใจ
ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมคราม
ข้าไทนอนหลับลงทับกัน
สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม
กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม
อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา

คำศัพท์
            ข้าวสารปราย หมายถึง ข้าวสารที่เสกแล้วซัดให้กระจาย
            ร้านดอกไม้ ในที่นี้หมายถึงชานเรือนโบราณที่ปลูกดอกไม้ไว
สะเดาะกลอน หมายถึง ทำให้กลอนประตูหลุดออกได้ด้วยคาถาอาคม
ถอดความได้ว่า
            พลายงามจุดเทียนร่ายมนต์สะกด โปรยข้าวสารเสกใส่ทำให้ภูตพรายหนีกันอลหม่าน จึงสะเดาะกลอนประตูเข้าไปถึงสามชั้น บานหน้าต่าง เข้าไปข้างในห้อง และได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่หอมหวนอบอวลไปทั่วห้อง แล้วก้าวเข้าไปอย่างเงียบๆ พวกข้ารับใช้กำลังนอนหลับ พลายงามจึงใช้มนตร์สะเดาะกลอนประตูเข้ามาภายในถึง3ชั้น


            ม่านมู่ลี่มีฉากประจำกั้น

อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา
ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา
เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง
นิ่งนอนอยู่บนเตียงเคียงขุนช้าง
มันแนบข้างกอดกลมประสมสอง
เจ็บใจดังหัวใจจะพังพอง
ขยับจ้องดาบง่าอยากฆ่าฟัน
จะใครถีบขุนช้างที่กลางตัว
นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น
พลางนั่งลงนอบนบอภิวันทน์
สะอื้นอั้นอกแค้นน้ำตาคลอ
คำศัพท์
            อัฒจันทร์ ในที่นี้หมายถึง ชั้นที่ตั้งเครื่องแก้วซึ่งเป็นของประดับบ้าน
ถอดความได้ว่า
            เมื่อเข้าไปถึงในห้องมีทั้งกระจกฉาก และม่านมู่ลี่ที่กั้นอยู่ เมื่อพลายงามเดินมาถึง พลายงามจึงเปิดมุ้งและเห็นขุนช้างนอนกอดแม่วันทองอยู่ จึงเจ็บใจจนอยากจะชักดาบมาฆ่ามัน คิดจะถีบขุนช้างก็กลัวจะถูกแม่วันทอง พลายงามจึงนั่งลงและยกมือไหว้ สะอื้นน้ำตาคลอ

            โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย
ไม่ควรเลยจะพรากจากคุณพ่อ
เวรกรรมนำไปไม่รั้งรอ
มิพอที่จะต้องพรากก็จากมา
มันไปฉุดมารดาเอามาไว้
อ้ายหัวใสข่มเหงไม่เกรงหน้า
ที่ทำแค้นกูจะแทนให้ทันตา
ขอษมาแม่แล้วก็ขับพราย
เป่าลงด้วยพระเวทวิทยา
มารดาก็ฟื้นตื่นโดยง่าย
ดาบใส่ฝักไว้ไม่เคลื่อนคลาย
วันทองรู้สึกกายก็ลืมตา

คำศัพท์
            วิทยา หมายถึง ความรู้
ถอดความได้ว่า
            พลายงามรำพันว่านางวันทองไม่ควรพลัดพรากจากขุนแผน แล้วโทษว่าเป็นเวรกรรมที่ทำให้ต้องแยกกัน พรายงามได้แม่แล้วขอขมาไล่พราย พร้อมทั้งเป่ามนต์ให้แม่วันทองตื่นขึ้นมา
            ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง
ต้องมนตร์มัวหมองเป็นหนักหนา
ตื่นพลางทางชำเลืองนัยน์ตามา
เห็นลูกยานั้นยืนอยู่ริมเตียง
สำคัญคิดว่าผู้ร้ายให้นึกกลัว
กอดผัวร้องดันจนสิ้นเสียง
ซวนซบหลบลงมาหมอบเมียง
พระหมื่นไวยเข้าเคียงห้ามมารดา
อะไรแม่แซ่ร้องทั้งห้องนอน
ลูกร้อนรำคาญใจจึงมาหา
จะร้องไยใช่โจรผู้ร้ายมา
สนทนาด้วยลูกอย่าตกใจ

คำศัพท์
            นัยน์ตา หมายถึง ดวงตา
ถอดความได้ว่า
            นางวันทองรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาสายตามองเห็นพลายงามแต่คิดว่าเป็นโจรจึงเข้า กอดขุนช้างด้วยความกลัว พลายงามปลอบ บอกนางวันทองว่าลูกพลายงามเอง ไม่ใช่โจรผู้ร้าย แม่อย่าตกใจไปเลย


            ครานั้นวันทองผ่องโสภา
ครั้นรู้ว่าลูกยาหากลัวไม่
ลูกออกมาพลันด้วยทันใด
พระหมื่นไวยเข้ากอดเอาบาทา
วันทองประคองสอดกอดลูกรัก
ซบพักตร์ร้องไห้ไม่เงยหน้า
เจ้ามาไยป่านนี้นี่ลูกอา 
เขารักษาอยู่ทุกแห่งตำแหน่งใน
ใส่ดาลบ้านช่องกองไฟรอบ
พ่อช่างลอบเข้ามากระไรได้
อาจองทะนงตัวไม่กลัวภัย
นี่พ่อใช้ฤาว่าเจ้ามาเอง

ถอดความได้ว่า
            เมื่อวันทองรู้ว่าพลายงามมาหา ก็รีบลุกเข้าไปกอดพลายงามแล้วก็ซบหน้าร้องไห้
แล้วถามว่าลูกผ่านคนที่คอยเฝ้าอยู่มาได้ยังไงที่นี่มีคนคอยเฝ้าดูแลอยู่ทุกตำแหน่ง
ทำไมถึงรอดเข้ามาได้ลูกไม่กลัวหรอ นี่ขุนแผนใช้ลูกมา หรือ ลูกมาเอง

           
            ขุนช้างตื่นขึ้นมิเป็นการ
เขาจะรุกรานพาลข่มเหง
จะเกิดผิดแม่คิดคะนึงเกรง
ฉวยสบเพลงพลาดพล้ำมิเป็นการ
มีธุระสิ่งไรในใจเจ้า
พ่อจงเล่าแก่แม่แล้วกลับบ้าน
มิควรทำเจ้าอย่าทำให้รำคาญ
อย่าหาญเหมือนพ่อนักคะนองใจ
จมื่นไวยสารภาพกราบบาทา
ลูกมาผิดจริงหาเถียงไม่
รักตัวกลัวผิดแต่คิดไป
ก็หักใจเพราะรักแม่วันทอง

คำศัพท์
            ฉวยสบเพลง หมายถึง บังเอิญถูกจังหวะ
ถอดความได้ว่า
            ถ้าขุนช้างตื่นมาอาจจะทำร้ายลูกได้นะแม่เป็นห่วงมาก แม่กลัวว่าถ้าลูกเสียจังหวะพลาดพล้ำไปพลายงามอาจจะถูกทำร้ายได้นะแม่กลัว ถ้ามีธุระอะไรด่วนก็รีบมาเล่าให้แม่ฟัง แล้วก็รีบกลับไปซะ อย่าทำตัวกล้าหาญเหมือนขุนแผนพ่อของลูก พลายงามกราบเท้าแม่แล้วบอกว่าลูกทำผิดจริงจะไม่เถียงผิดที่คิดไปแต่ก็ต้องจำ ใจเพราะรักแม่วันทอง

            ทุกวันนี้ลูกชายสบายยศ
พร้อมหมดเมียมิ่งก็มีสอง
มีบ่าวไพร่ใช้สอยทั้งเงินทอง
พี่น้องข้างพ่อก็บริบูรณ์
ยังขาดแต่แม่คุณไม่แลเห็น
เป็นอยู่ก็เหมือนตายไปหายสูญ
ข้อนี้ที่ทุกข์ยังเพิ่มพูน
ถ้าพร้อมมูลแม่ด้วยจะสำราญ
ลูกมาหมายว่าจะมารับ
เชิญแม่วันทองกลับคืนไปบ้าน
แม้จะบังเกิดเหตุเภทพาล
ประการใดก็ตามแต่เวรา

ถอดความได้ว่า
            ทุกวันนี้พลายงามสบายมียศถาบรรดาศักดิ์ มีพร้อมทุกอย่างทั้งเงินทองบ่าวไพร่เมียก็มีสองคน ผู้ใหญ่ฝ่ายพอก็อยู่ดี ยังขาดแต่แม่วันทองไม่มองเห็น อยู่ไปก็เหมือนตายไม่เคยสนใจเพราะอย่างนี้ที่ยังทุกข์หนัก ถ้ามีแม่วันทองด้วยจะสุขสำราญ ที่ลูกมาตั้งใจว่าจะมารับแม่วันทองกลับบ้านเรา ถึงจะเกิดเรื่องก็แล้วแต่เวรแต่กรรม

            มาอยู่ไยกับอ้ายหินชาติ
แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา
ดังทองคำเลี่ยมปากกะลา
หน้าตาดำเหมือนมินหม้อมอม
เหมือนแมลงวันว่อนเคล้าที่เน่าชั่ว
มาเกลือกกลั้วปทุมมาลย์ที่หวานหอม
ดอกมะเดื่อฤๅจะเจือดอกพะยอม
ว่านักแม่จะตรอมระกำใจ
แม่เลี้ยงลูกมาถึงเจ็ดขวบ
เคราะห์ประจวบจากแม่หาเห็นไม่
จะคิดถึงลูกบ้างฤาอย่างไร 
ฤาหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย
ถ้าคิดเห็นเอ็นดูว่าลูกเต้า
แม่ทูนเกล้าไปเรือนอย่าเชือนเฉย
ให้ลูกคลายอารมณ์ได้ชมเชย
เหมือนเมื่อครั้งแม่เคยเลี้ยงลูกมา

คำศัพท์
มินหม้อ หมายถึง เขม่าดำที่ติดก้นหม้อ
ถอดความได้ว่า
            มาอยู่ทำไมกับคนเลวทรามชั่วขี้อิจฉาแบบนี้ หน้าตาก็มอมแมมดำอย่างกับเขม่าที่ติดก้นหม้อ น่าเกลียดเหมือนแมลงวันเน่ามาบินตอมดอกไม้ที่สวยงามอย่างแม่ เหมือนคนชั่วมาปนกับคนดี จะว่ามากก็กลัวแม่จะทุกข์ใจ แม่เลี้ยงลูกมาถึง 7 ขวบ เพราะเคราะห์กรรมของแม่ถึงต้องจากกัน แม่วันทองคิดถึงลูกบ้างไหม หรือว่าแม่ไม่คิดถึงลูกเลย ถ้าแม่ยังเอ็นดูลูกอยู่ แม่รีบไปกับอยู่กับลูก เหมือนครั้งที่แม่เคยเลี้ยงดูลูกมา

ถอดคำประพันธ์ ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 2

            ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง                              เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา
พ่อพลายงาม ทรามสวาดิ ของแม่อา                แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย
ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง                         มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน
ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท                                 ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม
ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก                                  มีแต่ทุกข์เจ็บดังเหน็บหนาม
ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม                           จะขืนความคิดไปก็ใช่ที

คำศัพท์
            ทรามสวาดิ    หมายถึง    ผู้เป็นที่รัก
ถอดความได้ว่า
            นางวันทองก็ตอบพลายงามว่า เศร้าใจเจียนตาย  เงินทองข้าทาสบริวารไม่มีอะไรสำคัญกว่าลูกทุกวันนี้ที่นางวันทองทนอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ไม่ได้มีความสุขเลยแต่ก็ต้องทนอยู่ทำตามใจตนเองก็ไม่ได้


            เมื่อพ่อเจ้าเข้าคุกแม่ท้องแก่               เขาฉุดแม่ใช่จะแกล้งแหนงหนี
ถึงพ่อเจ้าเล่าไม่รู้ว่าร้าย                                เป็นหลายปีแม่มาอยู่กับขุนช้าง
เมื่อพ่อเจ้ากลับมาแต่เชียงใหม่                       ไม่เพ็ดทูลสิ่งไรแต่สักอย่าง
เมื่อคราวตัวแม่เป็นคนกลาง                          ท่านก็ วางบท คืนให้บิดา
เจ้าเป็นถึง หัวหมื่นมหาดเล็ก                        มิใช่เด็กดอกจงฟังคำแม่ว่า
จงเร่งกลับไปคิดกับบิดา                               ฟ้องหากราบทูลพระทรงธรรม์

คำศัพท์
            วางบท   หมายถึง   ถูกกำหนดให้แสดงไปตามบท คือ หน้าที่ที่กำหนดให้ในที่นี้หมายถึง ครั้งหนึ่งสมเด็จพระพันวษาได้เคยทรงตัดสินให้นางวันทองกลับไปอยู่กับขุนแผน
            หัวหมื่นมหาดเล็ก    หมายถึง   ตำแหน่งข้าราชการมหาดเล็กถัดจากตำแหน่งจางวางซึ่งเป็นตำแหน่งหัวหน้าข้ารับใช้ของเจ้านายชั้นบรมวงศ์หรือทรงกลมลงมา
ถอดความได้ว่า
            เมื่อตอนขุนแผนถูกจับเข้าคุก แม่ก็ท้องแก่ ขุนช้างฉุดแม่มาไม่ได้หนีขุนแผนมา ตอนขุนแผนเขารบชนะเชียงใหม่มีความดีความชอบ พระพันวษาก็ตัดสินให้ไปอยู่กับขุนแผน ลูกเป็นถึงหัวหมื่นมหาดเล็ก ไม่ใช่เด็กแล้วจงกลับไปคิดไตร่ตรองกับพ่อให้ดี แล้วไปกราบทูลพระพันวษา

            พระองค์คงจะโปรดประทานให้          จะปรากฏยศไกรเฉิดฉัน
อันจะมาลักพาไม่ว่ากัน                                เช่นนั้นใจแม่มิเต็มใจ
ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม                          ฟังความเห็นว่าแม่หาไปไม่
คิดบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวเบี้ยวบิดไป                    เพราะรักอ้ายขุนช้างกว่าบิดา
จึงว่าอนิจจาลูกมารับ                                   แม่ยังกลับทัดทานเป็นหนักหนา
เหมือนไม่มีรักใคร่ในลูกยา                            อุตส่าห์มารับแล้วยังมิไป
ถอดความได้ว่า
            พระพันวษาคงจะโปรดประทานให้ ถ้าจะมาลักตัวแม่กลับแม่ไม่ว่า แต่แม่จะไม่เต็มใจกลับ พลายงามได้ฟังที่นางวันทองพูดจึงตอบไปว่า เพราะว่าแม่รักชุนช้างมากกว่าขุนแผนแม่ถึงได้บ่ายเบี่ยงไม่ยอมที่จะกลับทั้งๆที่ลูกก็มาแล้วแล้ว หรือว่าแม่ไม่รักลูกแล้ว

            เสียแรงเป็นลูกผู้ชายไม่อายเพื่อน        จะพาแม่ไปเรือนให้จงได้
แม้นมิไปให้งามก็ตามใจ                               จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที
จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป                              ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี่
แม่อย่าเจรจาให้ช้าที                                   จวนแจ้ง แสงศรี จะรีบไป
ครานั้นวันทองผ่องโสภา                               เห็นลูกยากัดฟันมันไส้
ถือดาบฟ้าฟื้นยืนแกว่งไกว                             ตกใจกลัวว่าจะฆ่าฟัน

คำศัพท์
            แสงศรี     หมายถึง    มาจากคำว่า แสงสุรีย์ศรี  หมายถึง  แสงอาทิตย์  
ถอดความได้ว่า
            พลายงามตอบว่าตนเป็นลูกผู้ชายวันนี้จะต้องพาแม่กลับบ้านไปให้ได้ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ยอมก็ตาม ถ้าแม่ไม่กลับไปขอทำบาปกรรมแล้ววันนี้ ต่อให้ตัดหัวของแม่ไปแล้วทิ้งแต่ตัวไว้ที่นี่ก็จะทำ แม่อย่ามัวพูดอยู่ รีบไปเถอะฟ้าจะแจ้งแล้ว ฝ่ายนางวันทองพอเห็นลูกกัดฟัน แกว่งดาบฟ้าฟื้นก็กลัว

            จึงปลอบว่าพลายงามพ่อทรามรัก        อย่าฮึกฮักว่าวุ่นทำหุนหัน
จงครวญใคร่ให้เห็นข้อสำคัญ                         แม่นี้พรั่นกลัวแต่จะเกิดความ
ด้วยเป็นข้าลักไปไทลักมา                              เห็นเบื้องหน้าจะอึงแม่จึงห้าม
ถ้าเจ้าเห็นเป็นสุขไม่ลุกลาม                           ก็ตามเถิดมารดาจะคลาไคล
ว่าพลางนางลุกออกจากห้อง                          เศร้าหมองโศกาน้ำตาไหล
พระหมื่นไวยก็พามารดาไป                           พอรุ่งแจ้งแสงใสก็ถึงเรือน

ถอนความได้ว่า
            นางวันทองปลอบลูกว่าอย่าหุนหัน  ที่แม่ไม่ไปนั้นเพราะกลัวลูกจะเดือดร้อนเป็นคดีความ  แต่ถ้าลูกเห็นว่าดีว่างามแม่ก็จะตามกลับไป แล้ววันทองก็ตามพลายงามกลับบ้าน  พลายงามพาแม่ไปถึงบ้านเมื่อใกล้สว่าง

            จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง         นอนครางหลับกรนอยู่ป่นเปื้อน
อัศจรรย์ฝันแปรแชเชือน                               ว่าขี้เรื้อนขึ้นตัวทั่วทั้งนั้น
หาหมอมารักษา ยาเข้าปรอท                        มันกินปอดตับไตออกไหลลั่น
ทั้งไส้น้อยไส้ใหญ่แลไส้ตัน                             ฟันฟางก็หักจากปากตัว
ตกใจตื่นผวาคว้าวันทอง                               ร้องว่าแม่คุณแม่ช่วยผัว
ลุกขึ้นงกงันตัวสั่นรัว                                    ให้นึกกลัวปรอทจะตอดตาย

คำศัพท์
            ยาเข้าปรอท      หมายถึง    ยาที่ประสมสารปรอทซึ่งอาจทำให้เป็นพิษได้
ถอดความได้ว่า
            ขุนช้างที่นอนหลับอยู่ ก็ได้ฝันร้ายว่า เป็นขี้เรือนทั่วทั้งตัว พอไปหาหมอกินยาประสมปรอทจึงถูกปรอทกินกินตับไตไส้พุงและฟันฟางก็หักออกจากปากเมื่อขุนช้างตื่นขึ้นมาก็ผวาจะคว้าหานางวันทอง

            ลืมตาเหลียวหาเจ้าวันทอง                 ไม่เห็นน้องห้องสว่างตะวันสาย
ผ้าผ่อนล่อนแก่นไม่ติดกาย                            เห็นม่านขาดเรี่ยรายประหลาดใจ
ตะโกนเรียกในห้องวันทองเอ๋ย                        หาขานรับเช่นเคยซักคำไม่
ทั้งข้าวของมากมายก็หายไป                          ปากประตูเปิดไว้ไม่ใส่กลอน
พลางเรียกหาข้าไทอยู่ว้าวุ่น                           อีอุ่นอีอิ่มอีฉิมอีสอน
อีมีอีมาอีสาคร                                           นิ่งนอนไยหวามาหากู

คำศัพท์
            ล่อนแก่น    หมายถึง   สิ้นเนื้อประดาตัว  ไม่มีติดตัว
ถอดความได้ว่า
            พอขุนช้างลืมตาขึ้นมามองก็ไม่เห็นนางวันทองอยู่ในห้อง จึงตะโกนเรียกหาวันทอง ก็ไม่มีเสียงขานรับกลับมา พอมองไปในห้องก็เห็นข้าวของมากมายหายไป จึงตะโกนเรียกบ่าวไพร่ในบ้านให้เข้ามาหา

            บ่าวผู้หญิงวิ่งไปอยู่งกงัน                   เห็นนายนั้นแก้ผ้ากางขาอยู่
ต่างคนทรุดนั่งบังประตู                                ตกตะลึงแลดูไม่เข้ามา
ขุนช้างเห็นข้าไม่มาใกล้                                ขัดใจลุกขึ้นทั้งแก้ผ้า
แหงนเถ่อเป้อปังยืนจังกา                            ย่างเท้าก้าวมาไม่รู้ตัว
 ยายจังงันงกยกมือไหว้                                            นั่นพ่อจะไปไหนพ่อทูนหัว
ไม่นุ่งผ่อนนุ่งผ้าดูน่ากลัว                               ขุนช้างมองดูตัวก็ตกใจ

คำศัพท์
            แหงนเถ่อ    หมายถึง   ค้างอยู่
            จังกา            หมายถึง   คือ จังก้า เป็นลักษณะยืนถ่างขาตั้งท่าเตรียมสู้ เป็นต้น
ถอดความได้ว่า
            บ่าวที่เป็นผู้หญิงก็วิ่งกันไปหาแต่เห็นขุนช้างแก้ผ้าอยู่ ก็หลบกันไปอยู่หลังประตูไม่กล้าเข้ามา ชุนช้างเห็นดังนั้นก็ขัดใจจึงลุกขึ้นทั้งๆที่ยังแก้ผ้าอยู่ ยืนค้างถ่างขาแล้วก้าวออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว  ยายจันก็ยกมือไหว้แล้วถามขุนช้างว่าจะไปไหน เสื้อผ้าไม่ใส่ พอขุนช้างมองดูตัวเองก็ต้องตกใจ

            สองมือปิดขาเหมือนท่าเปรต              ใครมาเทศน์เอาผ้ากูไปไหน
ให้นึกอดสูหมู่ข้าไท                                                 ยายจันไปเอาผ้าให้ข้าที
ยายจันตกใจเต็มประดา                                เข้าไปฉวยผ้าเอามาคลี่
หยิบยื่นส่งไปให้ทันที                                   เมินหนีอดสูไม่ดูนาย
ขุนช้างตัวสั่นเทาบอกบ่าวไพร่                         เจ้าวันทองไปไหนอย่างไรหาย
เอ็งไปดูให้รู้ซึ่งแยบคาย                                พบแล้วอย่าวุ่นวายให้เชิญมา

ถอดความได้ว่า
            ขุนช้างเอามือไปปิดขาเหมือนท่าที่เปรตยืน แล้วบอกว่าใครมาเอาผ้าไปไหน เลยนึกละอายใจกับเหล่าคนใช้ แล้วบอกให้ยายจันไปเอาผ้ามาให้ ยายจันก็ตกใจแล้วไปหยิบผ้ามาคลี่แล้วส่งไปให้กับขุนช้าง แล้วตนเองก็หลบไปไม่กล้ามอง ขุนช้างก็บอกคนใช้อย่างสั่นเทาว่า นางวันทองหายไปไหน ให้ไปดูว่าอยู่ที่ไหนถ้าเจอตัวแล้วก็ให้เชิญตัวกลับมา

            ข้าไทได้ฟังขุนช้างใช้                       ต่างเที่ยวค้นด้นไปจะเอาหน้า
ทั้งห้องนอกห้องในไม่พบพา                                      ทั่วเคหาแล้วไปค้นจนแผ่นดิน
เห็นประตูรั้วบ้านบานเปิดกว้าง                                   ผู้คนนอนสล้างไม่ตื่นสิ้น
เสาแรกแตกต้นเป็นมลทิน                             กินใจกลับมาหาขุนช้าง
บอกว่าได้ค้นคว้าหาพบไม่                                         แล้วเล่าแจ้งเหตุไปสิ้นทุกอย่าง
ข้าเห็นวิปริตผิดท่าทาง                                 ที่นวลนางวันทองนั้นหายไป

ถอดความได้ว่า
            พวกคนใช้ได้ฟังที่ขุนช้างใช้ต่างก็ไปค้นหาเพื่อที่จะเอาหน้า แต่หาเท่าไรก็ยังหากันไม่พบพอออกไปหน้าบ้านก็เห็นประตูบ้านเปิดอยู่กับคนที่นอนเกลื่อนกลาดเพราะมนต์สะกด ก็กลับมารายงานขุนช้างว่าไม่พบนางวันทอง เห็นแต่ เสาแรกแตกต้นซึ่งดูผิดประหลาดไป

            ครานั้นขุนช้างฟังบ่าวบอก                เหงื่อออกโซมล้านกระบาลใส
คิดคิดให้แค้นแสนเจ็บใจ                              ช่างทำได้ต่างต่างทุกอย่างจริง
สองหนสามหนก่นแต่หนี                               พลั้งทีลงไม่รอดนางยอดหญิง
คราวนั้นอ้ายขุนแผนมันแง้นชิง                      นี่คราวนี้หนีวิ่งไปตามใคร
ไม่คิดว่าจะเป็นเห็นว่าแก่                              ยังสาระแนหลบลี้หนีไปไหน
เอาเถิดเป็นไรก็เป็นไป                                  ไม่เอากลับมาได้ไม่ใช่กู

คำศัพท์
            แง้นชิง หมายความว่า   แง้น ในที่นี้น่าจะเป็นคำเดียวกับคำว่า แง่น ซึ่งแปลว่าแยกเขี้ยวจะกัด 
            แง้นชิงจึงหมายถึง แสดงอาการโกรธ แย่งชิง ทั้งๆที่ไม่สมควรจะได้
ถอดความได้ว่า
            ขุนช้างได้ฟังที่คนใช้พูดเหงื่อก็ออกเต็มหัวล้าน คิดไปแล้วขุนช้างก็เจ็บใจขุนช้างพอได้ยินก็เหงื่อท่วมตัวทั้งแค้น ทั้งเจ็บใจ  บ่นด่านางวันทองว่าหายไปไหน  หนีตนไปได้สองสามครั้งแล้ว  พอได้โอกาสก็หนี  ตอนนั้นขุนแผนเป็นคนพาไป แล้วคราวนี้นางวันทองไปกับใคร  แต่ถึงอย่างไรก็จะต้องตามกลับมาให้ได้

            จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม                         เกรงเนื้อความนั่งนึกตรึกตรองอยู่
อ้ายขุนช้างสารพัดเป็นศัตรู                            ถ้ามันรู้ว่าลักเอาแม่มา
มันก็จะสอดแนมแกมเท็จ                              ไปกราบทูลสมเด็จพระพันวษา
ดูจะระแวงผิดในกิจจา                                 มารดาก็จะต้องซึ่งโทษภัย
คิดแล้วเรียกหมื่นวิเศษผล                             เอ็งเป็นคนเคยชอบอัชฌาสัย
จงไปบ้านขุนช้างด้วยทันใด                            ไกล่เกลี่ยเสียอย่าให้มันโกรธา

ถอดความได้ว่า
            พลายงามเกรงว่าขุนช้างจะนำเรื่องที่เอาตัวนางวันทองมา ไปกราบทูลพระพันวษา  ทำให้นางวันทองต้องรับโทษไปด้วย คิดได้ดังนั้นจึงเรียกหมื่นวิเศษผล ให้ไปบ้านขุนช้างแล้วไกล่เกลี่ยเรื่องนางวันทอง อย่าให้ขุนช้างโกรธ

            บอกว่าเราจับไข้มาหลายวัน               เกรงแม่จะไม่ทันมาเห็นหน้า
เมื่อคืนนี้ซ้ำมีอันเป็นมา                                เราใช้คนไปหาแม่วันทอง
พอขณะมารดามา ส่งทุกข์                            ร้องปลุกเข้าไปถึงในห้อง
จึงรีบมาเร็วไวดังใจปอง                                รักษาจนแสงทองสว่างฟ้า
ไม่ตายคลายคืนฟื้นขึ้นได้                              กูขอแม่ไว้พอเห็นหน้า
แต่พอให้เคลื่อนคลายหลายเวลา                     จึงจะส่งมารดานั้นคืนไป

คำศัพท์
            ส่งทุกข์                 หมายความว่า     เข้าส้วม
ถอดความได้ว่า
            ให้หมื่นวิเศษผลบอกกับขุนช้างว่าตนไม่สบายมาหลายวันจึงอยากพบหน้าแม่  เลยใช้คนไปตามแม่ถึงส้วม แม่จึงรีบมาหาตน แต่ตอนนี้ตนไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ขอให้แม่อยู่กับตนสักระยะหนึ่งแล้วจะส่งแม่กลับ
ถอดคำประพันธ์ ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 3

            หมื่นวิเศษรับคำแล้วอำลา                 รีบมาบ้านขุนช้างหาช้าไม่
ครั้นแอบดูอยู่แต่ไกล                                    เห็นผู้คนขวักไขว่ทั้งเรือนชาน
ขุนช้างนั่งเยี่ยมหน้าต่างเรือน                         ดูหน้าเฝื่อนทีโกรธอยู่งุ่นง่าน
จะดื้อเดินเข้าไปไม่เป็นการ                            คิดแล้วลงคลานเข้าประตู
            ครานั้นเจ้าหม่อมขุนช้าง                   นั่งคาหน้าต่างเยี่ยมหน้าอยู่
เห็นคนคลานเข้ามาเหลือบตาดู                       นี่มาหลอกกูหรืออย่างไร

ถอดความได้ว่า
            หมื่นขุนวิเศษรับคำจากจมื่นไวย(พลายงาม) แล้วมาที่บ้านขุนช้าง พอเข้าไปถึงเรือนขุนช้าง  ดูท่าทางขุนช้างกำลังโกรธเคืองจึงคลานเข้าไปหา  ขุนช้างเห็นเข้าก็โกรธเพราะนึกว่ามาหลอกตน 

            อะไรพอสว่างวางเข้ามา                   เด็กหวาจับถองให้จงได้
ลุกขั้นถกเขมรร้องเกนไป                             ทุดอ้ายไพร่ขี้ครอกหลอกผู้ดี
ครานั้นวิเศษผลคนว่องไว                              ยกมือไหว้ไม่วิ่งหนี
ร้องตอบไปพลันในทันที                               คนดีดอกข้าไหว้ใช่คนพาล
ข้าพเจ้าเป็นบ่าวพระหมื่นไวย                        เป็นขุนหมื่นรับใช้อยู่ในบ้าน
ท่านใช้ให้กระผมมากราบกราน                       ขอประทานคืนนี้พระหมื่นไวย

คำศัพท์
            ถอง                   หมายถึง  กระทุ้งด้วยศอก
            ถกเขมร             หมายถึง  การนุ่งผ้าหยักรั้งขึ้นไปให้พ้นหัวเข่าถึงง่ามก้น บางทีเรียกว่าขัดเขมร
            ร้องเกน              หมายถึง  ร้องตะโกนดังๆ
            ทุด                    หมายถึง  คำที่เปล่งออกมาแสดงความไม่พอใจหรือติเตียน
ถอดความได้ว่า
            หมื่นวิเศษรีบยกมือขึ้นไหว้แล้วตอบว่าตนเป็นคนดีไม่ใช่คนร้าย  เป็นบ่าวของจมื่นไวยเป็นขุนหมื่นรับใช้อยู่ในบ้าน  พลายงามไม่สบายจึงใช้ให้ตนมาแจ้ง ขอให้นางวันทองอยู่ด้วยหนึ่งคืน


            เจ็บจุกประจุบันมีอันเป็น                 ก็ไขก็เห็นหาหายไม่
ร้องโอดโดดดิ้นเพียงสิ้นใจ                             จึงใช้ให้ตัวข้ามาแจ้งการ
พอพบท่านมารดามาส่งทุกข์                         ข้าพเจ้าร้องปลุกไปในบ้าน
จะกลับขึ้นเคหาเห็นช้านาน                           ท่านจึงรีบไปในกลางคืน
พยาบาลคุณพระนายพอคลายไข้                    คุณอย่าสงสัยว่าไปอื่น
ให้คำมั่นสั่งมาว่ายั่งยืน                                 พอหายเจ็บแล้วจะคืนไม่นอนใจ

คำศัพท์
            เจ็บจุกประจุบัน  หมายถึง  มีอาการจุกเสียดขึ้นมาทันที
            ส่งทุกข์              หมายถึง  เข้าส้วม
ถอดความได้ว่า
            พลายงามไม่สบายเลยจึงอยากพบหน้าแม่ เลยให้คนใช้ไปตามแม่มาถึงส้วม แม่จึงมาหาหลายงามหลพลายงามจึงหมื่นวิเศษผลมาแจ้ง ถ้าหายแล้วจะพานางวันทองกลับไป

            ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า                     แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล
ดับโมโหโกรธาทำว่าไป                                 เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี
การเจ็บไข้ล้มตายไม่วายเว้น                          ประจุบันเป็นทั้งกรุงศรี
ถ้าขัดสนสิ่งไรที่ไม่มี                                    ก็มาเอาที่นี่อย่าเกรงใจ
ว่าแล้วปิดบานหน้าต่างผาง                            ขุนช้างเดือดดาลทะยานไส้
ทอดตัวลงกับหมอนถอนฤทัย                          ดูดู๋เป็นได้เจียววันทอง

คำศัพท์
            ประจุบัน  หมายถึง  ปัจจุบัน  เรียกโรคภัยที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดว่าโรคปัจจุบัน
ถอดความได้ว่า
            ขุนช้างได้ฟังแล้วรู้สึกแค้นขึ้นมา  แต่แกล้งพูดต่อไปว่า การเจ็บไข้นั้นเป็นเรื่องปกติเป็นกันทั่วไป ถ้าขัดสนสิ่งใดให้มาขอที่ตน พอขุนช้างพูดเสร็จก็ปิดประตูดังผาง แล้วเข้าไปนอนแค้นนางวันทองกับครอบครัว


            เพราะกูแพ้ความจมื่นไวย                 มันจึงเหิมใจทำจองหอง
พ่อลูกแม่ลูกถูกทำนอง                                 ถึงสองครั้งแล้วเป็นแต่เช่นนี้
อ้ายพ่อไปเชียงใหม่มีชัยมา                            ตั้งตัวดังพญาราชสีห์
อ้ายลูกเป็นหมื่นไวยทำไมมี                           เห็นกูนี้คนผิดติดโทษทัณฑ์
มันจึงข่มเหงไม่เกรงใจ                                 จะพึ่งพาใครได้ที่ไหนนั่น
ขุนนางน้อยใหญ่เกรงใจกัน                            ถึงฟ้องมันก็จะปิดให้มิดไป

คำศัพท์
            ทัณฑ์  หมายถึง  โทษเนื่องด้วยความผิด
ถอดความได้ว่า
            เพราะว่าตนแพ้ความจมื่นไวยจึงทำให้จมื่นไวยเหิมใจนัก  ทั้งขุนแผนและพลายงามนั้นชนะตนถึง 2 ครั้งแล้ว แล้วคิดขึ้นมาได้ว่าจะไปฟ้องคดีแย่งนางวันทองคืน  ถ้าฟ้องตามกระบวนการพวกขุนนางจะช่วยสองพ่อลูกนั้นได้ 

            ตามบุญตามกรรมได้ทำมา                จะเฆี่ยนฆ่าหาคิดชีวิตไม่
ยิ่งคิดเดือดดาลทะยานใจ                             ฉวยได้กระดารชนวนมา
ร่างฟ้องท่องเทียบให้เรียบร้อย                       ถ้อยคำถี่ถ้วนเป็นหนักหนา
ลงกระดาษพับไว้มิได้ช้า                               อาบน้ำผลัดผ้าแล้วคลาไคล
วันนั้นพอปิ่นนรินทร์ราช                               เสด็จประพาสบัวยังหากลับไม่
ขุนข้างมาถึงซึ่งวังใน                                   ก็คอยจ้องที่ใต้ตำหนักน้ำ

คำศัพท์
            เสด็จประพาสบัว  หมายถึง  การเสด็จประพาสท้องทุ่งในฤดูน้ำหลากที่มีน้ำเต็มเปี่ยมมีดอกบัวและพันธุ์ไม้งดงาม 
อาจเป็นฤดูเล่นเรือหรือเล่น ดอกสร้อยสักวา
ถอดความได้ว่า
            คราวนี้ต้องฟ้องกับพระพันวษาเองถึงจะถูกเฆี่ยนตีก็ตาม  ว่าแล้วก็หยิบกระดานชนวนขึ้นมาร่างคำฎีกาแล้วลอกใส่กระดาษอีกที เสด็จแล้วก็อาบน้ำเตรียมตัวไปทูลพระพันวษา ขุนช้างมาคอยจ้องเข้าเฝ้าพระพันวษาที่ตำหนักน้ำ  ตั้งแต่ยังไม่เสด็จกลับจากประพาสบัว 

            จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช                         เสด็จคืนนิเวศน์พอจวนค่ำ
ฝีพายรายเล่มมาเต็มลำ                                เรือประจำแหนแห่เซ็งแช่มา
พอเรือพระที่นั่งประทับที่                              ขุนช้างก็รี่ลงตีนท่า
ลอยคอชูหนังสือดื้อเข้ามา                             ผุดโผล่โงหน้ายึดแคมเรือ
เข้าตรงบโทนอ้นต้นกัญญา                           เพื่อนโขกลงด้วยกะลาว่าผีเสื้อ
มหาดเล็กอยู่งานพัดพลัดตกเรือ                      ร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา

คำศัพท์
            นิเวศน์        หมายถึง  บ้าน,วัง
            บโทนอ้นต้นกัญญา  หมายถึง  บโทนคือพนักงานคอยให้จังหวะสัญญาณให้ฝีพาย พายเรือช้าหรือเร็ว  เรือในที่นี้เป็นเรือต้นกัญญา  คือ เป็นเรือหลวงยาว  มีเครื่องบังแดดเป็นรูปหลังคา  อัน น่าจะเป็นชื่อของบโทน
            ผีเสื้อ           หมายถึง  เทวดาที่รักษาน่านน้ำ ในที่นี้หมายถึงผีน้ำ



ถอดความได้ว่า
            พระพันวษารีบเสด็จกลับตอนค่ำขุนช้างรีบลงจากท่าแล้วลอยคอชูหนังสือฎีกาถวาย  โดยโผล่เข้ามาทางที่แคมเรือจนคนบนเรือตกใจนึกว่าเป็นผีน้ำหรือเสือว่ายมา  ทำให้เกิดความวุ่นวาย จนมหาดเล็กอยู่งานพลัดตกจากเรือ แล้วร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา

            ขุนช้างดึงดื้อมือยึดเรือ                     มิใช่เสือกระหม่อมฉานล้านเกศา
สู้ตายของถวายซึ่งฎีกา                                 แค้นเหลือปัญญาจะทนทาน
ครานั้นสมเด็จพระพันวษา                            ทรงพระโกรธาโกลาหล
ทุดอ้ายจัญไรมิใช่คน                                   บนบกบนฝั่งดังไม่มี
ใช่ที่ใช่ทางวางเข้ามา                                   ฤๅอ้ายช้างเป็นบ้ากระมังนี่
เฮ้ยใครรับฟ้องของมันที                               ตีเสียสามสิบจึงปล่อยไป

คำศัพท์
            ฎีกา             หมายถึง  คำร้องทุกข์ที่ยื่นถวายพระเจ้าแผ่นดิน
ถอดความได้ว่า
            ขุนช้างเอามือไปยึดเรือแล้วพูดว่าเป็นตนเองไม่ใช่เสือจะมาขอถวายฎีกา พระพันวษากริ้วว่าขุนช้างมิใช่คนบนฝั่งก็มีไม่ไปกลับลุยน้ำมาหาหรือว่าขุนช้างเป็นบ้าถึงทำเช่นนี้  จึงสั่งให้มหาดเล็กไปรับฎีกาแล้วโบยขุนช้าง 30 ที  แล้วจึงปล่อยไป 


            มหาดเล็กก็รับเอาฟ้องมา                  ตำรวจคว้าขุนช้างหางวางไม่
ลงพระราชอาญาตามว่าไว้                            พระจึงให้ตั้งกฤษฎีกา
ว่าตั้งแต่วันนี้สืบไป                                      หน้าที่ของผู้ใดให้รักษา
ระวางโทษเบ็ดเสร็จเจ็ดสถาน                         ถึงประหารชีวิตเป็นผุยผง
ตามกฤษฎีการักษาพระองค์                           แล้วลงจากพระที่นั่งเข้าวังใน

คำศัพท์
            กฤษฏีกา  หมายถึง  บทกฎหมายซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้น  เพื่อใช้ในการบริหาร เรียกว่า พระราชกฤษฎีกา
ถอดความได้ว่า
            มหาดเล็กรับคำฟ้องของขุนช้าง แล้วนำตัวขุนช้างไปเฆี่ยนตี และพระพันวษาทรงออกกฎ (กฤษฎีกา) ว่า ถ้าใครประมาทปล่อยให้คนเข้ามาได้เช่นนี้อีกจะลงโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต

            จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท              เรืองฤทธิ์ลือจบพิภพไหว
อยู่บ้านสุขเกษมเปรมใจ                               สมสนิทพิสมัยด้วยสองนาง
ลาวทองกับแก้วกิริยา                                   ปรนนิบัติวัตถาไม่ห่างข้าง
เพลิดเพลินจำเริญใจไม่เว้นวาง                       คืนนั้นในกลางซึ่งราตรี
นางแก้วลาวทองทั้งสองหลับ                          ขุนแผนกลับผวาตื่นฟื้นจากที่
พระจันทรจรแจ่มกระจ่างดี                           พระพายพัดมาลีตรลบไป


คำศัพท์
            พิสมัย    หมายถึง  ความรัก,ความปลื้มใจ
            พระพาย             หมายถึง  ลม
            มาลี       หมายถึง  ดอกไม้
            ตรลบ    หมายถึง  (ตลบ)  หกหลังมา,ย้อนกลับมา,ฟุ้ง
ถอดความได้ว่า
            ขุนแผนมีความสุขที่มีนางลาวทองและนางแก้วกิริยาคอยปรนนิบัติ  คืนนั้นขณะที่นางทำสองหลับไปขุนแผนกลับผวาตื่น
  

            คิดคะนึงมิตรแต่ก่อนเก่า                   นิจจาเจ้าเหินห่างร้างพิสมัย
ถึงสองครั้งตั้งแต่พรากจากพี่ไป                       ดังเด็ดใจจากร่างก็ราวกัน
กูก็ชั่วมัวรักแต่สองนาง                                 ละวางให้วันทองน้องโศกศัลย์
เมื่อตีได้เชียงใหม่ก็โปรดครัน                          จะเพ็ดทูลคราวนั้นก็คล่องใจ
สารพัดที่จะว่าได้ทุกอย่าง                             อ้ายขุนช้างไหนจะโต้จะตอบได้
ไม่ควรเลยเฉยมาไม่อาลัย                            บัดนี้เล่าเจ้าไวยไปรับมา

ถอดความได้ว่า
            ขุนแผนคิดถึงนางวันทองซึ่งได้พรากจากตนไปถึง 2 ครั้ง  โดยที่ตนนั้นมัวแต่อยู่กับนางลาวทองและนางแก้วกิริยาปล่อยให้นางวันทองต้องเศร้า เมื่อตอนไปตีเชียงใหม่ได้ก็ไปทูลขอนางวันทองก็ได้กลับมาแล้วขุนช้างก็ไปพรากอีก ตอนนี้พลายงามไปรับตัวนางวันทองมาแล้ว

            จำกูจะไปสู่สวาทน้อง                       เจ้าวันทองจะคอยละห้อยหา
คิดพลางจัดแจงแต่งกายา                             น้ำอบทาหอมฟุ้งจรุงใจ
ออกจากห้องย่องเดินดำเนินมา                       ถึงเรือนลูกยาหาช้าไม่
เข้าห้องวันทองในทันใด                                เห็นนางหลับใหลนิ่งนิทรา
ลดตัวลงนั่งข้างวันทอง                                 เตือนต้องด้วยความเสน่หา
สั่นปลุกลุกขึ้นเถิดน้องอา                               พี่มาหาแล้วอย่านอนเลย

ถอดความได้ว่า
            ขุนแผนคิดว่าตนต้องไปหานางวันทองป่านนี้คงจะเฝ้ารอตนอยู่ว่าแล้วจึงแต่งตัวแล้วออกจากห้องไปยังเรือนพลางาม 
เข้าไปในห้องนารงวันทองเห็นนางหลับอยู่ จึงนั่งลงข้างๆแล้วปลุกให้นางตื่น ว่าตนมาหาแล้วให้ตื่น

            นางวันทองตื่นอยู่รู้สึกตัว                   หมายใจว่าผัวก็ทำเฉย
นิ่งดูอารมณ์ที่ชมเชย                                   จะรักจริงฤๅจะเปรยเป็นจำใจ
แต่นิ่งดูกิริยาเป็นช้านาน                               หาว่าขานตอบโต้อย่างไรไม่
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นฤทัย                                 ความอาลัยปั่นป่วนยวนวิญญา

ถอดความได้ว่า
            ชุนแผนมาถึงเรือนพลายงาม  เข้าไปในห้องนางวันทองแล้วพบนางหลับไป  จึงนั่งข้างๆแล้วปลุกให้นางตื่น ว่าตนมาแล้ว
ถอดคำประพันธ์ ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 4

            โอ้เจ้าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย                เจ้าหลับใหลกระไรเลยเป็นหนักหนา
ดังนิ่มน้องหมองใจไม่นำพา                           ฤๅขัดเคืองคิดว่าพี่ทอดทิ้ง
ความรักหนักหน่วงทรวงสวาท                        พี่ไม่คลาดคลายรักแต่สักสิ่ง
เผอิญเป็นวิปริตที่ผิดจริง                               จะนอนนิ่งถือโทษโกรธอยู่ไย
ว่าพลางเอนแอบลงแนบข้าง                          จูบพลางชวนชิดพิสมัย
ลูบไล้พิไรปลอบให้ชอบใจ                             เป็นไรจึงไม่ฟื้นตื่นนิทรา

ถอดความได้ว่า
            ขุนแผนง้อนางวันทองด้วยคำพูดหวานๆและขอโทษนางวันทอง ว่าอย่าโกรธขุนแผนเลย จะนอนนิ่งไม่คุยกับขุนแผนเลยหรอ ขุนแผนพูดไปแล้วก็ก้มลงนอนแนบข้างๆนางวันทองพร้อมพรมจูบ ลูบแขน   และถามนางวันทองว่าทำไมไม่ตื่นขึ้นมาคุยกับขุนแผน

            เจ้าวันทองน้องตื่นจากที่นอน             โอนอ่อนวอนไหว้พิไรว่า
หม่อมน้อยใจฤๅที่ไม่เจรจา                            ใช่ตัวข้านี้จะงอนค่อนพิไร
ชอบผิดพ่อจงคิดคะนึงตรอง                          อันตัวน้องมลทินหาสิ้นไม่
ประหนึ่งว่าวันทองนี้สองใจ                            พบไหนก็เป็นแต่เช่นนั้น
ที่จริงใจถึงไปอยู่เรือนอื่น                              คงคิดคืนที่หม่อมเป็นแม่นมั่น
ด้วยรักลูกกรักผัวยังพัวพัน                              คราวนั้นก็ไปอยู่เพราะจำใจ

ถอดความได้ว่า
            นางวันทองจึงตื่นขึ้นมาบอกว่า ขุนแผนน้อยใจนางวันทองเหรอ นางวันทองไม่ได้งอนแต่รู้สึกว่าตัวนางเป็นคนสองใจอยู่ตลอดเวลา ถึงตัวจะอยู่ที่เรือนของขุนช้างแต่ใจนั้นยังรักลูกและขุนแผนมาก ที่อยู่กับขุนช้างเพราะจำใจ

            แค้นคิดด้วยมิตรไม่รักเลย                  ยามมีที่เชยเฉยเสียได้
เสียแรงร่วมทุกข์ยากกันกลางไพร                    กินผลไม้ต่างข้าวทุกเพรางาย
พอได้ดีมีสุขลืมทุกข์ยาก                                ก็เพราะหากหม่อมมีซึ่งที่หมาย
ว่านักก็เครื่องเคืองระคาย                              เอ็นดูน้องอย่าให้อายเขาอีกเลย ฯ
พี่ผิดจริงแล้วเจ้าวันทอง                                เหมือนลืมน้องหลงเลือนทำเชือนเฉย
ใช่จะเพลิดเพลินชื่นเพราะอื่นเชย                    เงยหน้าเถิดจะเล่าอย่าเฝ้าแค้น

คำศัพท์
            เพรางาย หมายถึง เวลาเช้าและเย็น (เพรา = เย็น, งาย = เช้า)
            เครื่อง  หมายถึง เหตุ เรื่องราว ในความว่า ว่านักก็เครื่องเคืองระคาย
ถอดความได้ว่า
            นางวันทองแค้นใจที่ขุนแผนมัวแต่หลงนางลาวทองกับแก้วกิริยาจนลืมนางวันทอง เสียแรงที่ได้เคยอาศัยอยู่กินกันในป่า พอไปได้ดิบได้ดีมีความสุขก็ลืมนางวันทอง เป็นเพราะขุนแผนมีที่หมายใหม่ นางวันทองอยากให้ขุนแผนรักเอ็นดูนางวันทองไม่ทิ้งนางให้ขายหน้าอีก ขุนแผนกล่าวว่าพี่ผิดไปแล้ว ไม่ได้ลืมน้องเพราะมีหญิงอื่น เงยหน้าเถอะอย่าโกรธพี่เลย

            เมื่อติดคุกทุกข์ถึงเจ้าทุกเช้าค่ำ            ต้องกลืนกกล้ำโศกเศร้านั้นเหลือแสน
ซ้ำขุนช้างคิดคดทำทดแทน                            มันดูแคลนว่าพี่นี้ยากยับ
อาลัยเจ้าเท่ากับดวงชีวิตพี่                             คิดจะหนีไปตามเอาเจ้ากลับ
เกรงจะพากันผิดเข้าติดทับ                                        แต่ขยับอยู่จนได้ไปเชียงอินทร์
กลับมาหมายว่าจะไปตาม                             พอเจ้าไวยเป็นความก็ค้างสิ้น

ถอดความได้ว่า
            ขุนแผนจึงขอโทษนางวันทองและเล่าเรื่องราวทั้งหมดเพื่อปรับความเข้าใจกับนางวันทองว่าสาเหตุที่ไม่ได้ไปหาก็เพราะติดคุก แต่คิดถึงนางวันทองตลอดเวลา ตอนออกจากคุกก็ว่าจะไปพานางวันทองกลับมา
แต่มีเรื่องของพลายงามเกิดขึ้นเสียก่อน

            หัวอกใครได้แค้นในแผ่นดิน               ไม่เดือดดิ้นเท่าพี่กับวันทอง
คิดอยู่ว่าจะทูลพระพันวษา                            เห็นช้ากว่าจะได้มาร่วมห้อง
จะเป็นความอีกก็ตามแต่ทำนอง                      จึงให้ลูกรับน้องมาร่วมเรือน
จะเป็นตายง่ายยากไม่ยากรัก                         จะฟูมฟักเหมือนเมื่ออยู่ในกลางเถื่อน
ขอโทษที่พี่ผิดอย่าบิดเบือน                            เจ้าเพื่อนเสนหาจงอาลัย
พี่ผิดพี่ก็มาลุแก่โทษ                                    จะคุมโกรธคุมแค้นไปถึงไหน

ถอดความได้ว่า
            ขุนแผนจะไปทูลพระพันวษาแต่เห็นว่าคงดำเนินเรื่องช้าเลยให้พลายงามเป็นคนรับนางวันทองกลับมา จะดูแลนางวันทองเหมือนตอนที่อยู่ด้วยกันในป่า  ขุนแผนขอโทษนางวันทองแล้วบอกว่าอย่าโกรธขุนแผน ขุนแผนผิดจึงมาขอโทษจะโกรธเคืองไปถึงไหน

            ความรักพี่ยังรักระงมใจ                   อย่าตัดไมตรีตรึงให้ตรอมตาย
ว่าพลางทางแอบเข้าแนบอก                          ประคองยกของสำคัญมั่นหมาย
เจ้าเนื้อทิพย์หยิบชื่นอารมณ์ชาย                     ขอสบายสักหน่อยอย่าโกรธา
ใจน้องมิให้หมองอารมณ์หม่อม                      ไม่ตัดใจให้ตรอมเสนหา
ถ้าตัดรักหักใจแล้วไม่มา                                หม่อมอย่าว่าเลยฉันไม่คืนคิด

คำศัพท์
            ของสำคัญ  หมายถึง เต้านม ในความว่า ว่าพลางทางแอบเข้าแนบอก ประคองยกของสำคัญมั่นหมาย
ถอดความได้ว่า
            ความรักที่ขุนแผนมีให้ยังมีอยู่เต็มหัวใจ อย่าตัดความสัมพันธ์ให้เจ็บช้ำ ขุนช้างพูดไปก็ซบนางวันทอง  นางวันทองไม่เคยตัดใจจากขุนแผน  ถ้าตัดใจแล้วคงไม่กลับมาหาขุนแผน




            ถึงตัวไปใจยังนับอยู่ว่าผัว                  น้องนี้กลัวบาปทับเมื่อดับจิต
หญิงเดียวชายครองเป็นสองมิตร                     ถ้ามิปลิดเสียให้เปลื้องไม่ตามใจ
คราวนั้นเมื่อตามไปกลางป่า                          หน้าดำเหมือนหนึ่งทามินหม้อไหม้
ชนะความงามหน้าดังเทียนชัย                        เขาฉุดไปเหมือนลงทะเลลึก
เจ้าพลายงามตามรับเอากลับมา                      ทีนี้หน้าจะดำเป็นน้ำหมึก
กำเริบใจด้วยเจ้าไวยกำลังฮึก                          จะพาแม่ตกลึกให้จำตาย

ถอดความได้ว่า
            ตัวนางวันทองอยู่กับขุนช้างแต่ใจอยู่กับขุนแผนตลอด นางวันทองกลัวบาปที่มีสามีสองคน ตอนหนีไปอยู่ป่ากับขุนแผนก็เสียหน้ามารอบหนึ่งแล้ว พอขุนช้างฉุดไปอยู่ด้วยก็เหมือนโดนฉุดไปอยู่ใต้ทะเลลึก
พอมาตอนนี้พลายงามก็มารับกลับไปอีกก็ได้อายเขาอีกรอบ

            มิใช่หนุ่มดอกอย่ากลุ้มกำเริบรัก          เอาความผิดคิดหักให้เหือดหาย
ถ้ารักน้องป้องปิดให้มิดอาย                                       ฉันกลับกลายแล้วหม่อมจงฟาดฟัน
ไปเพ็ดทูลเสียให้ทูลกระหม่อมแจ้ง                   น้องจะแต่งบายศรีไว้เชิญขวัญ
ไม่พักวอนดอกจะนอนอยู่ด้วยกัน                     ไม่เช่นนั้นฉันไม่เลยจะเคยตัว
ครั้นเวลาดึกกำดัดสงัดเงียบ                           ใบไม้แห้งแกร่งเกรียบระรุบร่อน
พระพายโชยเสาวรสขจายขจร                        พระจันทรแจ่มแจ้งกระจ่างดวง

คำศัพท์
            บายศรี หมายถึง เครื่องเชิญขวัญหรือรับขวัญ ทำด้วยใบตอง รูปคล้ายกระทงเป็นชั้นๆ มีขนาดใหญ่เล็กสอบกันขึ้นไปตามลำดับ อาจเป็น 3 ชั้น 5 ชั้น 7 ชั้น หรือ 9 ชั้น มีเสาปักตรงกลางแกน มีเครื่องสังเวยวางอยู่ในบายศรีและมีไข่ขวัญเสียบอยู่บนยอด
ถอดความได้ว่า
            นางวันทองเลยบอกกับขุนแผนว่า ถ้าขุนแผนรักนางจริงต้องช่วยนาง ไปทูลพระพันวษาขอนางวันทองคืนให้ถูกต้องตามขั้นตอน ไม่อย่างนั้นก็ห้ามขุนแผนแตะเนื้อต้องตัวนางอีก ในเวลาค่ำนั้นเสียงเงียบสงัดจนได้ยินเสียงของใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ พระจันทร์ก็ส่องแสงสว่าง

            ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง                ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง
วันทองน้องนอนสนิทรวง                              จิตง่วงระงับสู่ภวังค์
ฝันว่าพลัดไปในไพรเถื่อน                              เลื่อนเปื้อนไม่รู้ที่จะกลับหลัง
ลดเลี้ยวเที่ยวหลงในดงรัง                              ยังมีพยัคฆ์ร้ายมาราวี
ทั้งสองมองหมอบอยู่ริมทาง                           พอนางดั้นป่ามาถึงที่
โดดตะครุบคาบคั้นในทันที                            แล้วฉุดคร่าพารี่ไปในไพร

ถอดความได้ว่า
            นกก็ต่างร้องสียงดัง เสียงระฆังจากในวังก็ตีบอกเวลา นางวันทองที่นอนหลับสนิทอยู่ ก็ฝันว่าตนหลงไปในป่า หาทางกลับไม่ได้ ยิ่งเดินเลี้ยวไปไหนต่อไหนก็ยิ่งหลงทาง และก็ไปเจอเสือสองตัวนอนหมอบอยู่ริมข้างทางแล้วก็ตะครุบนางเข้าไปในป่า

            สิ้นฝันครั้นตื่นตกประหม่า                 หวีดผวากอดผัวสะอื้นไห้
เล่าความบอกผัวด้วยกลัวภัย                          ประหลาดใจน้องฝันพรั่นอุรา
ใต้เตียงเสียงหนูก็กุกกก                                แมงมุมทุ่มอกที่ริมฝา
ยิ่งหวาดหวั่นพรั่นตัวกลัวมรณา                       ดังวิญญานางจะพรากไปจากกาย
ครานั้นขุนแผนแสนสนิท                               ฟังความตามนิมิตก็ใจหาย
ครั้งนี้น่าจะมีอันตราย                                  ฝันร้ายสาหัสตัดตำรา

คำศัพท์
            แมงมุมทุ่มอก  หมายถึง ทุ่มอกคือตีอก เชื่อกันว่าเมื่อแมงมุมตีอกของมันจะเป็นลางร้ายอย่างหนึ่ง
ถอดความได้ว่า
            นางก็ตื่นขึ้นมาร้องไห้ผวากอดขุนแผนและเล่าความฝันให้ขุนแผนฟัง ยิ่งได้ยินเสียงหนูร้องและแมงมุมทุ่มอกยิ่งใจหายกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดี

            พิเคราะห์ดูทั้งยามอัฐกาล                ก็บันดาลฤกษ์แรงเป็นหนักหนา
มิรู้ที่จะแถลงแจ้งกิจจา                                 กอดเมียเมินหน้าน้ำตากระเด็น
จึงแกล้งเพทุบายทำนายไป                            ฝันอย่างนี้มิใช่จะเกิดเข็ญ
เพราะวิตกหมกไหม้จึงได้เป็น                         เนื้อเย็นอยู่กับผัวอย่ากลัวทุกข์
พรุ่งนี้พี่จะแก้เสนียดฝัน                                แล้วทำมิ่งสิ่งขวัญให้เป็นสุข
มิให้เกิดราคีกลียุค                                      อย่าเป็นทุกข์เลยเจ้าจงเบาใจ

คำศัพท์
            อัฐกาล หมายถึง อัฐเคราะห์ คือตำแหน่งดาวเคราะห์ทั้ง 8 ตามตำราโหราศาสตร์
            เสนียด หมายถึง ไม่เป็นมงคล
ถอดความได้ว่า
            เมื่อขุนแผนได้ฟังความฝันของนางวันทองก็รู้ว่าเป็นลางบอกเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น แต่ไม่รู้จะบอกนางวันทองยังไงเลยปลอบใจนางวันทอง จึงแกล้งบอกปลอบใจนางวันทองว่าเป็นเพราะนางคิดมากไปไม่ได้จะเกิดเหตุร้ายหรอก อยู่กับพี่ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะแก้สิ่งไม่เป็นมงคลให้และทำสิ่งดีทำให้นางมีความสุข ไม่ให้เกิดสิ่งร้ายๆ สบายใจได้
ถอดคำประพันธ์ ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 5

            ครั้นว่ารุ่งสางสว่างฟ้า                      สุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล       
จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงชัย                          เนาในพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์
พร้อมด้วยพระกำนัลนักสนม                          หมอบประนมเฝ้าแหนแน่นขนัด
ประจำตั้งเครื่องอานอยู่งานพัด                      ทรงเคืองขัดขุนช้างแต่กลางคืน
 แสนถ่อยใครจะถ่อยเหมือนมันบ้าง                 ทุกอย่างที่จะชั่วอ้ายหัวลื่น
เวียนแต่เป็นถ้อยความไม่ข้ามคืน                     น้ำยืนหยั่งไม่ถึงยังดึงมา
คำศัพท์
            เครื่องอาน หมายถึง เครื่องกิน
            ถ่อย หมายถึง ชั่ว,เลว
            น้ำยืนหยั่งไม่ถึง หมายถึง น้ำลึกเกินกว่าเท้าจะหยั่งถึง
ถอดความได้ว่า
            วันรุ่งขึ้นสมเด็จพระพันวษาประทับบนบัลลังก์มีนางกำนัลและสนมหมอบเฝ้าอยู่ ตั้งเครื่องกินและอยู่งานพัดตามหน้าที่ สมเด็จพระพันวษาขัดเคืองขุนช้างตั้งแต่เวลากลางคืน ทรงเห็นว่าขุนช้างเป็นคนชั่วคอยแต่มีคดีความกับผู้อื่น

            คราวนั้นฟ้องกันด้วยวันทอง               นี่มันฟ้องใครอีกอ้ายชาติข้า
ดำริพลางทางเสด็จยาตรา                             ออกมาพระที่นั่งจักรพรรดิ
พระสูตรรูดกร่างกระจ่างองค์                         ขุนนางกราบลงเป็นขนัด
ทั้งหน้าหลังเบียดเสียดเยียดยัด                       หมอบอัดถัดกันเป็นหลั่นไป
ทอดพระเนตรมาเห็นขุนช้างเฝ้า                      เออใครเอาฟ้องมันไปไว้ไหน
พระหมื่นศรีถวายพลันในทันใด                      รับไว้คลี่ทอดพระเนตรพลัน

คำศัพท์
            พระสูตร หมายถึง ม่าน
ถอดความได้ว่า
            คราวก่อนก็ฟ้องร้องเรื่องวันทอง ครั้งนี้ไม่ทรงทราบว่าจะฟ้องใครอีก พระองค์จึงเสด็จออกมาที่พระที่นั่งจักรพรรดิ  เมื่อม่านรูดออกขุนนางก็พร้อมกันกราบลงหมอบเฝ้ากันอยู่มากมายตามลำดับ ทรงทอดพระเนตรเห็นขุนช้างเข้าเฝ้าอยู่จึงตรัสถามขุนนางว่าจะฟ้องใคร หมื่นศรี จึงถวายฎีกาให้ทอดพระเนตร 

            พอทรงจบแจ้งพระทัยในข้อหา           ก็โกรธาเคืองขุ่นหุ่นหัน
มันเคี่ยวเข็ญทำเป็นอย่างไรกัน                       อีวันทองคนเดียวไม่รู้แล้ว
ราวกับไม่มีหญิงเฝ้าชิงกัน                             หรืออีวันทองนั้นมันมีแก้ว
รูปอ้ายช้างชั่วช้าตาบ้องแบ๋ว                           ไม่เห็นแววที่ว่ามันจะรัก
ใครจะเอาเป็นผัวเขากลัวอาย                         หัวหูดูเหมือนควายที่ตกปลัก
คราวนั้นเป็นความกูถามซัก                           ตกหนักอยู่กับเฒ่าศรีประจัน

คำศัพท์
            โกรธา หมายถึง โกรธ
            ปลัก หมายถึง แอ่งที่เป็นโคลนเลน
ถอดความได้ว่า
            พอทอดพระเนตรเสร็จก็กริ้วว่าเรื่องวันทองคนเดียว ทำไมไม่จบกันเสียทีเหมือนกับไม่มีผู้หญิงคนอื่นอีกแล้ว และทรงไม่เห็นว่าวันทองจะมีใจรักขุนช้าง ใครก็ไม่อยากได้ขุนช้างไปเป็นผัว เพราะดูรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด

            วันทองกูสิให้กับไอ้แผน                    ไยแล่นมาอยู่กับอ้ายช้างนั่น
จมื่นศรีไปเอาตัวมันมาพลัน                           ทั้งวันทองขุนแผนอ้ายหมื่นไวย 
ฝ่ายพระหมื่นศรีได้รับสั่ง                              ถอยหลังออกมาไม่ช้าได้
สั่งเวรกรมวังในทันใด                                 ตำรวจในวิ่งตะบึงมาถึงพลัน
ขึ้นไปบนเรือนพระหมื่นไวย                           แจ้งข้อรับสั่งไปขมีขมัน
ขุนช้างฟ้องร้องฎีกาพระทรงธรรม์                   ให้หาทั้งสามท่านนั้นเข้าไป

คำศัพท์
            ตะบึง หมายถึง รีบเร่ง
            ขมีขมัน หมายถึง ทันทีทันใด
ถอดความได้ว่า
            คราวก่อนก็ยกวันทองให้กับขุนแผนไปแล้ว ทำไมจึงมาอยู่กับขุนช้างอีก จึงให้จมื่นศรีไปนำตัววันทอง ขุนแผนและจมื่นไวย   พระหมื่นศรีได้รับคำสั่งให้ถอยหลังออกมาในไม่ช้าและสั่งหารในวังทันทีให้ทหารวิ่งมาอย่างเร่งรีบและขึ้นไปบนเรือนพระหมื่นไวยและแจ้งรับสั่งให้รีบไปในทันที ขุนช้างได้ยืนคำร้องทุกข์ให้พระเจ้าแผ่นดินให้เรียกทั้งสามคนมาเข้าเฝ้า

            ครานั้นวันทองเจ้าพลายงาม              ได้ฟังความคร้ามครั่นหวั่นไหว
ขุนแผนเรียกวันทองเข้าห้องใน                      ไม่ไว้ใจจึงเสกด้วยเวทมนตร์
สีขี้ผึ้งสีปากกินหมากเวทย์                            ซึ่งวิเศษสารพัดแก้ขัดสน
น้ำมันพรายน้ำมันจันทน์สรรเสกปน                             เคยคุ้มขังบังตนแต่ไรมา
แล้วทำผงอิทธิเจเข้าเจิมพักตร์                       คนเห็นคนทักรักทุกหน้า
เสกกระแจะจวงจันทร์น้ำมันทา                      เสร็จแล้วก็พาวันทองไป

ถอดความได้ว่า
            ตอนนั้นนางวันทองและพลายงามได้ฟังคำรับสั่งแล้วรู้สึกตื่นเต้น และขุนแผนเรียกนางวันทองเข้าไปข้างในห้อง เพราะไม่ไว้ใจเลยเสกมนตร์ใส่นางวันทอง เอาขี้ผึ้งมาปากและกินหมากที่ลงมนตร์ไว้ มันเป็นของที่ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง มีทั้งน้ำมันพรายและน้ำมันจันทน์ที่ใช้พลางตัวมาตลอด แล้วนำผงเสน่ห์มาทาหน้าเพื่อให้คนที่เห็นที่ทักทุกคนต่างหลงรักตนและเสกเครื่องหอมที่ทำด้วยไม้จันทร์ทำให้เป็นน้ำมันพอทำเสร็จแล้วก็พานางวันทองออกไป

            ครานั้นทองประศรีผู้มารดา               ครั้นได้แจ้งกิจจาไม่นิ่งได้  
เด็กเอ๋ยวิ่งตามมาไวไว                                  ลงบันไดงันงกตกนอกกชาน
พลายชุมพลกอดก้นทองประศรี                      กูมิใช่ช้างขี่ดอกลูกหลาน
ลุกขึ้นโขย่งโก้งโค้งคลาน                              ซมซานโฮกฮากอ้าปากไป
ครั้นถึงยั้งอยู่ประตูวัง                                   ผู้รับสั่งเร่งรุดไม่หยุดได้
ขุนแผนวันทองพระหมื่นไวย                          เข้าไปเฝ้าองค์พระภูมี ฯ

ถอดความได้ว่า
            เมื่อแม่ของนางวันทองได้รู้ข่าวก็ร้อนใจ รีบเรียกลูกหลานให้วิ่งตามมาให้รีบลงจากบันไดจนตกออกนอกชาน พลายชุมพลก็เข้ากอดก้นนางทองประศรี นางทองประศรีจึงตะโกนบอกว่าพลายชุมพลว่าตนไม่ใช่ช้าง แล้วก็ลุกขึ้น เมื่อถึงหน้าประตูวัง ทั้งสามคนจึงรีบเข้าไปเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์

            ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช                 ปิ่นปักนคเรศเรืองศรี
เห็นสามราเข้ามาอัญชลี                               พระปรานีเหมือนลูกในอุทร
ด้วยเดชะพระเวทวิเศษประสิทธิ์                      เผอิญคิดรักใคร่พระทัยอ่อน
ตรัสถามอย่างความราษฎร                            ฮ้าเฮ้ยดูก่อนอีวันทอง
เมื่อมึงกลับมาแต่ป่าใหญ่                              กูสิให้อ้ายแผนประสมสอง
ครั้นกูขัดใจให้จำจอง                                   ตัวของมึงไปอยู่แห่งไร 
ถอดความได้ว่า
            เมื่อพระพันวสาเห็นทั้งสามคน(ขุนช้าง พระไวย และนางวันทอง)เดินเข้ามาก็เกิดความเอ็นดูอย่างลูก จึงตรัสถามความว่าเมื่อกลับมาจากป่าที่ตัดสินให้ไปอยู่กับขุนแผนเป็นอย่างไร

            ทำไมไม่อยู่กับอ้ายแผน                    แล่นไปอยู่กับอ้ายช้างใหม่
เดิมมึงรักอ้ายแผนแล่นตามไป                        ครั้นยกให้เต้นกลับเล่นตัว
อยู่กับอ้ายช้างไม่อยู่ได้                                 เกิดรังเกียจเกลียดใจด้วยชังหัว
ดูยักใหม่ย้ายเก่าเฝ้าเปลี่ยนตัว                        ตกว่าชั่วแล้วมึงไม่ไยดี ฯ
      ครานั้นวันทองได้รับสั่ง                           ละล้าละลังประนมก้มเกศี 
หัวสยองพองพรั่นทันที                                 ทูลคดีพระองค์ผู้ทรงธรรม์

ถอดความได้ว่า
            ให้ไปอยู่กับขุนแผนทำไมถึงไม่ไปอยู่ แต่กลับไปอยู่กับขุนช้าง ทั้งๆที่แต่ก่อนรักกับขุนแผนไม่ใช่เหรอพอจะยกให้ไปอยู่กับขุนช้าง ก็รังเกียจขุนช้างขึ้นมา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมามันไม่ดี  เมื่อนางวันทองได้รับสั่ง ก็รู้สึกละล้าละลังจึงประนมมือไหว้เหนือหัว นางรู้สึกกลัวมาก

            ขอเดชะละอองธุลีพระบาท                องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์
เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อรัญ                          ครั้งนั้นโปรดประทานขุนแผนไป
ครั้นอยู่มาขุนแผนต้องจำจอง                         กระหม่อมฉันมีท้องนั้นเติบใหญ่
อยู่ที่เคหาหน้าวัดตะไกร                               ขุนช้างไปบอกว่าพระโองการ
มีรับสั่งโปรดประทานให้                               กระหม่อมฉันไม่ไปก็หักหาญ
ยื้อยุดแดคร่าทำสามานย์                               เพื่อนบ้านจะช่วยก็สุดคิด

ถอดความได้ว่า
            นางวันทองทูลขอพระพันวษาว่า เมื่อตอนที่ออกจากป่าพระองค์ยกหม่อมฉันให้ขุนแผน ต่อมาขุนแผนถูกเข้าคุก ดิฉันได้ตั้งทอง ขุนช้างก็เข้ามากระหม่อมไปอยู่ด้วยโดยอ้างว่าเป็นพระบัญชาของพระองค์ มาฉุดกระหม่อมไปเพื่อนบ้านก็เกรงกลัวเพราะคิดว่าเป็นพระบัญชาของพระองค์

            ด้วยขุนช้างอ้างว่ารับสั่งให้                 ใครจะขัดขืนไว้ก็กลัวผิด
จนใจมิไปก็สุดฤทธิ์                                      ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา ฯ
        ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ                     ฟังจบกริ้วขุนช้างเป็นหนักหนา 
มีพระสิงหนาทตวาดมา                                อ้ายบ้าเย่อหยิ่งอ้ายลิงโลน
ตกว่ากูหาเป็นเจ้าชีวิตไม่                               มึงถือใจว่าเป็นเจ้าที่โรงโขน
เป็นไม่มีอาชญาสิทธิ์คิดถึงโดน                        เที่ยวทำโจรใจคะนองจองหองครัน

ถอดความได้ว่า
            พระพันวษาได้ฟังขุนช้างทูลก็ทรงกริ้ว ตวาดเสียงดังลั่น ว่าถ้าพระองค์ไม่เป็นกษัตริย์ ขุนช้างก็คงมองไม่เห็นหัว จะต้องเฆี่ยนเสียด้วยหวาย

            เลี้ยงมึงไม่ได้อ้ายใจร้าย                    ชอบแต่เฆี่ยนสองหวายตลอดสัน
แล้วกลับความถามข้างวันทองพลัน                  เออเมื่อมันฉุดคร่าพามึงไป
ก็ช้านานประมาณได้สิบแปดปี                       ครั้งนี้ทำไมมึงจึงมาได้
นี่มึงหนีมันมาหรือว่าไร                                            หรือว่าใครไปรับเอามึงมา
วันทองฟังถามให้คร้ามครั่น                                       บังคมคัลประนมก้มเกศา
ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา                            พระอาญาเป็นพ้นล้นเกล้าไป
ถอดความได้ว่า
            พระพันวษาก็ตรัสถามนางวันทองว่า เมื่อขุนช้างฉุดไปเป็นเวลาประมาณ 18 ปีทำไมถึงหนีมาได้ หนีมาเองหรือว่าใครไปรับมา นางวันทองได้ฟังคำถามก็รู้สึกกลัว

            ครั้งนี้จมื่นไวยนั้นไปรับ                    กระหม่อมฉันจึงกลับคืนมาได้
มิใช่ย้อนยอกทำนอกใจ                                ขุนแผนก็มิได้ประเวณี
แต่มานั้นเวลาสักสองยาม                              ขุนช้างจึงหาความว่าหลบหนี
ขอพระองค์จงทรงพระปรานี                         ชีวีอยู่ใต้พระบาทา ฯ

ถอดความได้ว่า
            นางวันทองกราบทูลสมเด็จพระพันวษาว่าจมื่นไวยไปรับตอนกลางคืน ขุนช้างจึงคิดว่าหนีออกมา ขุนแผนก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไม่งาม นางทูลขอความกรุณาจากสมเด็จพระพันวษา
ถอดคำประพันธ์ ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 6

            ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช                 ฟังเหตุขุ่นเคืองเป็นหนักหนา
อ้ายหมื่นไวยทำใจอหังการ์                            ตกว่าบ้านเมืองไม่มีนาย
จะปรึกษาตราสินให้ไม่ได้                             จึงทำตามน้ำใจเอาง่ายง่าย
ถ้าฉวยเกิดห่าฟันกันล้มตาย                           อันตรายไพร่เมืองก็เคืองกู
อีวันทองกูให้อ้ายแผนไป                               อ้ายช้างบังอาจใจทำจู่ลู่
ฉุดมันขึ้นช้างอ้างถึงกู                                  ตะคอกขู่อีวันทองให้ตกใจ

คำศัพท์
            ตกว่า  หมายถึง  ราวกับว่า
            ตราสิน  หมายถึง  แจ้งความไว้เพื่อเป็นหลักฐาน
            จู่ลู่  หมายถึง  หุนหันพลันแล่น ในความว่า อ้ายช้างบังอาจใจทำจู่ลู่
ถอดความได้ว่า
            เมื่อพระพันวษาได้ฟังความจากนางวันทอง ก็โกรธจมื่นไวยที่ทำการอุกอาจทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย   ถ้าเกิดมีการฆ่าฟันล้มตาย ประชาชนจะขุ่นเคืองพระพันวษาได้  ทางด้านขุนช้างก็ผิดที่ไปฉุดตัวนางวันทองมา  แล้วยังอ้างชื่อพระพันวษาไปข่มขู่พาตัวนางวันทองมา 

            ชอบตบให้สลบลงกับที่                     เฆี่ยนตีเสียให้ยับไม่นับได้
มะพร้าวห้าวยัดปากให้สาใจ                          อ้ายหมื่นไวยก็โทษถึงฉกรรจ์
มึงถือว่าอีวันทองเป็นแม่ตัว                            ไม่เกรงกลัวเว้โว้ทำโมหันธ์
ไปรับไยไม่ไปในกลางวัน                               อ้ายแผนพ่อนั้นก็เป็นใจ
มันเหมือนวัวเคยขาม้าเคยขี่                         ถึงบอกกูว่าดีหาเชื่อไม่
อ้ายช้างมันก็ฟ้องเป็นสองนัย                         ว่าอ้ายไวยลักแม่ให้บิดา

คำศัพท์
            วัวเคยขาม้าเคยขี่  หมายถึง คุ้นเคยกันมาอย่างดี รู้ทีกัน เข้าใจในทำนองของกันและกัน สำนวนนี้ส่วนมากใช้กับคนที่เคยเป็นสามี ภรรยากัน
ถอดความได้ว่า
            เฆี่ยนตีขุนช้างให้สลบคาที่ แล้วเอามะพร้าวห้าวยัดปาก จมื่นไวยก็มีความผิดฉกรรจ์ที่ไปพาตัวนางวันทองมากลางดึก  คงจะมีขุนแผนผู้เป็นพ่อคอยหนุนหลัง  เพราะว่าขุนช้างเอาเรื่องมาบอกพระพันวษาว่า จมื่นไวยฉุดนางวันทองกลับไปให้พ่อถือว่าเป็นความผิด

            เป็นราคีข้อผิดมีติดตัว                      หมองมัวมลทินอยู่หนักหนา
ถ้าอ้ายไวยอยากจะใคร่ได้แม่มา                      ชวนพ่อฟ้องหาเอาเป็นไร
อัยการศาลโรงก็มีอยู่                                   หรือว่ากูตัดสินให้ไม่ได้
ชอบทวนด้วยลวดให้ปวดไป                          ปรับไหมให้เท่ากับชายชู้
มันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะหญิง                          จึงหึงหวงช่วงชิงยุ่งยิ่งอยู่
จำจะตัดรากใหญ่ให้หล่นพรู                          ให้ลูกดอกดกอยู่แต่กิ่งเดียว

คำศัพท์
            ทวนด้วยลวด  หมายถึง เฆี่ยนตีด้วยหนังที่ทำเป็นเส้นยาวๆซึ่งเรียกว่าลวดหนัง
ถอดความได้ว่า
            ถ้าจมื่นไวยอยากได้ตัวแม่  ทำไมไม่พาพ่อมาฟ้องศาล  หรือคิดว่าพระพันวษาไม่สามารถตัดสินให้ได้ ต้องลงโทษด้วยลวดและปรับ  ส่วนขุนช้างก็บังอาจอ้างราชโองการ ควรตบให้สลบ แล้วเอามะพร้าวยัดปาก แล้วรับสั่งว่าจะต้องแก้ปัญหานี้ให้จบเสียที ต้องตัดรากใหญ่(ปัญหา) ให้เหลือลูกดอกกิ่งเดียว (ให้นางวันทองตัดสินใจเลือกเพียงหนึ่ง)

            อีวันทองตัวมันเหมือนรากแก้ว            ถ้าตัดโคนขาดแล้วก็ใบเหี่ยว
ใครจะควรสู่สมอยู่กลมเกลียว                         ให้เด็ดเดี่ยวรู้กันแต่วันนี้
เฮ้ยอีวันทองว่ากระไร                                  มึงตั้งใจปลดปลงให้ตรงที่
อย่าภวังค์กังขาเป็นราคี                                เพราะมึงมีผัวสองกูต้องแค้น
ถ้ารักใหม่ก็ไปอยู่กับอ้ายช้าง                          ถ้ารักเก่าเข้าข้างอ้ายขุนแผน
อย่าเวียนวนไปให้คนมันหมิ่นแคลน                 ถ้าแม้นมึงรักไหนให้ว่ามา

คำศัพท์
            รากใหญ่  หมายถึง นางวันทอง
ถอดความได้ว่า
            นางวันทองเหมือนกับรากแก้วถ้าตัดโคนได้แล้วใบก็จะเหี่ยวไปเอง พระพันวษาตรัสว่านางวันทองจะตกลงยังไง อย่าลังเลเพราะมีทั้งผัวและลูก ถ้ารักใหม่ก็ให้ไปอยู่กับขุนช้าง แต่ถ้ารักก็เลือกขุนแผน อย่าชักช้าคนจะนินทาเอาได้ จะเลือกใครก็ว่ามา

            ครานั้นวันทองฟังรับสั่ง                    ให้ละล้าละลังเป็นหนักหนา
ครั้นจะทูลกลัวพระราชอาญา                                     ขุนช้างแลดูตายักคิ้วลน
พระหมื่นไวยใช้ใบ้ให้แม่ว่า                            บุ้ยปากตรงบิดาเป็นหลายหน
วันทองหมองจิตคิดเวียนวน                           เป็นจนใจนิ่งอยู่ไม่ทูลไป
        ครานั้นพระองค์ทรงธรณินทร์                หาได้ยินวันทองทูลขึ้นไม่
พระตรัสความถามซักไปทันใด                        หรือมึงไม่รักใครให้ว่ามา

ถอดความได้ว่า
            นางวันทองได้ฟังคำพระพันวษาก็เกิดลังเลว่าจะเลือกใคร มองไปทางขุนช้างก็ยักคิ้ว มองไปทาง
จมื่นไวยก็ทำปากบุ้ยไปตรงพ่อ วันทองคิดวนไปวนมา ก็ยังไม่ทูลอะไรแก่พระพันวษา พระพันวษาไม่เห็นว่านางวันทองทูลอะไร ทรงตรัสถามต่อว่าจะไม่รักใครให้ว่ามา

            จะรักชู้ชังผัวมึงกลัวอาย                    จะอยู่ด้วยลูกชายก็ไม่ว่า
ตามใจกูจะให้ดังวาจา                                              แต่นี้เบื้องหน้าขาดเด็ดไป
            นางวันทองรับพระราชโองการ           ให้บันดาลบังจิตหาคิดไม่
อกุศลดลมัวให้ชั่วใจ                                    ด้วยสิ้นในอายุที่เกิดมา
คิดคะนึงตะลึงตะลานอก                              ดังตัวตกพระสุเมรุภูผา
ให้อุธัจอัดอั้นตันอุรา                                    เกรงผิดภายหน้าก็สุดคิด

ถอดความได้ว่า
            จะไปอยู่กับลูกไหม ตามแต่ใจ แต่ถ้าตอบมาแล้วจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้  นางวันทองรับพระราชโองการดังนั้นก็คิดไม่ออก ถึงเวลาสิ้นอายุ จึงเกิด อกุศลทำให้ประหม่าและเกรงว่าจะตัดสินใจผิด

            จะว่ารักขุนช้างกระไรได้                   ที่จริงใจมิได้รักแต่สักหนิด
รักพ่อลูกห่วงดังดวงชีวิต                               ตามพระทัยท้าวจะแยกให้แตกฉาน
คิดแล้วเท่านั้นมิทันนาน                               นางก้มกรานแล้วก็ทูลไปฉับพลัน
ความรักขุนแผนก็แสนรัก                              ด้วยร่วมยากมานักไม่เดียดฉันท์
สู้ลำบากบุกป่ามาด้วยกัน                              สารพันอดออมถนอมใจ

ถอดความได้ว่า
            จะว่ารักขุนช้างก็ไม่ได้เพราะตนไม่ได้รัก ถ้าเกิดทูลพระพันวษาผิดก็จะเป็นทูล จึงทูลเป็นกลางๆตามแต่พระทัยของพระพันวษาว่าจะตัดสินใจอย่างไร จึงทูลออกไปว่าขุนแผนนั้นก็แสนรักร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมานาน

            ขุนช้างแต่อยู่ด้วยกันมา                    คำหนักหาได้ว่าให้เคืองไม่
เงินทองกองไว้มิให้ใคร                                             ข้าไทใช้สอยเหมือนของตัว
จมื่นไวยเล่าก็เลือดที่ในอก                             ก็หยิบยกรักเท่ากันกับผัว
ทูลพลางตัวนางเริ่มระรัว                              ความกลัวอาญาเป็นพ้นไป
                ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ             ฟังจบแค้นคลั่งดังเพลิงไหม้
เหมือนดินประสิวปลิวติดกับเปลวไฟ                  ดูดู๋เป็นได้อีวันทอง
ถอดความได้ว่า
            ขุนช้างอยู่ด้วยกันมาก็ไม่เคยทำเรื่องให้ขุ่นเคืองใจและมีเงินทองบ่าวไพร่ใช้ไม่ขัดสน ส่วนจมื่นไวยที่เป็นลูกชายก็เป็นเหมือนเลือดในอก ย่อมรักเท่ากับรักผัวอยู่แล้ว ทูลเสร็จนางวันทองก็สั่นด้วยความกลัว
หลังจากนางวันทองทูล พระพันวษากริ้วอย่างมากเหมือนดินประสิวที่โดนไฟแล้วปะทุ

            จะว่ารักข้างไหนไม่ว่าได้                   น้ำใจจะประดังเข้าทั้งสอง
ออกนั่นเข้านี่มีสำรอง                                   ยิ่งกว่าท้องทะเลอันล้ำลึก
จอกแหนแพเสาสำเภาใหญ่                           จะทอดถมเท่าไรไม่รู้สึก
เหมือนมหาสมุทรสุดซึ้งซึก                            น้ำลึกเหลือจะหยั่งกระทั่งดิน
อิฐผาหาหาบมาทุ่มถม                                 ก็จ่อมจมสูญหายไปหมดสิ้น
อีแสนถ่อยจัญไรใจทมิฬ                   ดังเพชรนิลเกิดขึ้นในอาจม

ถอดความได้ว่า
            นางวันทองไม่ยอมบอกว่าจะเลือกใคร พระพันวษารับสั่งด่านางวันทองว่ารักข้างไหนเลือกไม่ถูกจะเอาไว้สำรองทั้งสองยิ่งว่าความลึกของทะเลทอดสมอลึกเกินจะหยั่งถึงได้ คนถ่อย จัญไร ใจทมิฬ เหมือนเพชรที่เกิดในสิ่งสกปรก

            รูปงามนามเพราะน้อยไปหรือ            ใจไม่ซื่อสมศักดิ์เท่าเส้นผม
แต่ใจสัตว์มันยังมีที่นิยม                                สมาคมก็แต่ถึงฤดูมัน
มึงนี่ถ่อยยิ่งกว่าถ่อยอีท้ายเมือง                       จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์
ละโมบมากตัณหาตาเป็นมัน                          สักร้อยพันให้มึงไม่ถึงใจ
ว่าหญิงชั่วผัวยังคราวละคนเดียว                     หาตามตอมกันเกรียวเหมือนมึงไม่
หนักแผ่นดินกูจะอยู่ไย                                 อ้ายไวยมึงอย่านับว่ามารดา

ถอดความได้ว่า
            หน้าตาสวยงามชื่อเพราะน้อยไปหรือถึงได้จิตใจไม่ซื่อเท่ากับเส้นผม เลวกว่าสัตว์เพราะสัตว์ยังมีฤดูผสมพันธุ์  หญิงชั่วยังมีผัวคราวละคน จะอยู่ให้หนักแผ่นดินทำไม ทรงหันไปตรัสกับจมื่นไวยว่าอย่านับนางวันทองเป็นแม่ให้อายเขา

            กูเลี้ยงมึงถึงให้เป็นหัวหมื่น                คนอื่นรู้ว่าแม่ก็ขายหน้า
อ้ายขุนช้างขุนแผนทั้งสองรา                          กูจะหาเมียให้อย่าอาลัย
หญิงกาลกิณีอีแพศยา                                  มันไม่น่าเชยชิดพิสมัย
ที่รูปรวยสวยสมมีถมไป                                            มึงตัดใจเสียเถิดอีคนนี้
เร่งเร็วเหวยพระยายมราช                             ไปฟันฟาดเสียให้มันเป็นผี
อกเอาขวานผ่าอย่าปรานี                              อย่าให้มีโลหิตติดดินกู
เอาใบตองรองไว้ให้หมากิน                            ตกดินจะอัปรีย์กาลีอยู่
ฟันให้หญิงชายทั้งหลายดู                             สั่งเสร็จเสด็จสู่ปราสาทชัย

ถอดความได้ว่า

            รับสั่งขุนช้างกับขุนแผนพระองค์จะทรงหาเมียใหม่ให้ แล้วรับสั่งให้เอานางวันทองไปประหารชีวิต เอาขวานผ่าอก แล้วเอาใบตองมารองเลือดให้หมากิน อย่าให้เลือดอัปรีย์กาลีตกถึงพื้นดินเลย รับสั่งเสร็จก็เสด็จเข้าสู่ปราสาทที่ประทับ

1 ความคิดเห็น: